วันเสาร์, กรกฎาคม 25, 2552


เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตา เพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไร แต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถเพื่อน ออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตร กลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีกนอกจากกฎของเมอร์ฟี่ ยังมีกฎอื่นๆ ที่มีผู้สังเกตพบมากมายจึงรวบรวมไว้ดังนี้
.
.
กฎความเป็นไปได้ ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับราคาของพรม
การดูดวง หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลว แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด
กฎแห่งความแม่นยำ หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด
กฎของหาย ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน
กฎของเมธี เลขเด็ดที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น และหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออก หากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง แต่ถ้าเราซื้อเลขกลับ มันจะออกเลขตรง และถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย
กฎแรงโน้มถ่วง วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นด้วยความเร็วขนาดที่ทำลาย ทรัพย์สินได้มากที่สุดเท่าๆกัน
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า
กฎห้ามพูด คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า "เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ" กฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวัง ถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหา และถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา
กฎของโฮว์ (Howe's Law) มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ
กฎของไซเมอร์กี้ ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ
ข้อสังเกตของอีตัวร์ รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา
กฎการแก้ปัญหา ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆ อยู่ภายในซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขลุล่วง
กฎทอง คนมีทองคือคนออกกฎ
ธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เรามีสองประเภทประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวก ประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก
กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน คนที่มีนาฬิกาเพิ่ม มาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง
กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยาก เพราะงาน 90 % แรก จะกิน เวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ
กฎของโอ'รีลลี สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด
กฎของลีเบอร์แมน นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร
กฎน้ำพริกถ้วยเก่า เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่
ข้อเท็จจริงขององค์กร ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียว ที่มองเห็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กร และคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ
กฎการโต้เถียง คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก
กฎการทำงานเป็นทีม เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี
กฎการมองโลก มนุษย์สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย ที่เหลือมองร้ายกว่า

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 12, 2552

10 ข้อควรปฏิบัติในการถนอมสายตาหน้าจอคอมฯ

เมื่อเราต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่ทุกวัน เพื่อเป็นการถนอมสายตาของเรา ก็มี 10ข้อปฏิบัติในการถนอมสายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาฝากกัน
1. ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา เราสามารถทดสอบง่าย ๆ ได้โดยลองปิดสวิตซ์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ ๆ จอาภาพ จอที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คือไม่รู้สึกขนลุก
2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมไปถึงปรับความสว่างในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เพราะดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตารุนแรงมากขึ้น
3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18 – 24 นิ้ว (วัดง่าย ๆ ประมาณหนึ่งช่วงแขนและปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 – 20 องศาค่ะ) ถ้าระยะห่าวของจอภาพกับดวงตาไม่สัมพันธ์กันจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
4. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจจะช่วยได้ไม่มาก(ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า) แต่ก็น่าจะช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้
5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ ที่ต้องทำก็เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากขึ้น
6. หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาทำงานใหม่ เพื่อให้สายตาได้พัก 15 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
7. ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาพักซัก 2 – 3 นาที หรืออาจจะปิดไฟนอนพักซักครู่ (วิธีนี้พี่เหมี่ยวว่าใช้ที่บ้านน่าจะเหมาะที่สุดนะคะ)
8. ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้
9. ควรกระพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ ภายใน 10 วินาที พยายามกระพริบตาซัก 1 – 2 ครั้ง จะช่วยคลายความอ่อนล้าของสายตาได้
10. ตรวจสุขภาพตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรไปตรวจเช็คสุขภาพดวงตาด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 02, 2552

นานาสาระ

7 อุปนิสัยสร้างเด็กให้ประสบความสำเร็จ


1.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีความมั่นใจ สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ความมั่นใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกเด็กวัยรุ่นสู่อิสรภาพ รวมถึงปลดปล่อยความสามารถในด้านอื่น ๆ ของตนเองออกมา พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกวัยรุ่น หรือวัยพรีทีนมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของตนเอง เด็กที่มีความมั่นใจจะเข้าใจว่า ตัวเขาเองคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย และเขาจะไม่กลายเป็นเด็กที่ชอบโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาด้วย
2.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีเป้าหมายในชีวิต
เด็กวัยรุ่น หรือเด็กวัยพรีทีนจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสนเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจไม่ทราบว่า ทำไมเขาถึงต้องทำสิ่งนี้ เขาจะประสบความสำเร็จไปเพื่อใคร และอาจมองชีวิตว่าเป็นการเดินทางที่ไร้จุดหมายแน่นอน ในจุดนี้ หากพ่อแม่ช่วยลูกสร้างเป้าหมายในชีวิต หรือแนะแนวทางในการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตได้ก็จะช่วยให้ชีวิต และทางเดินของเขามีคุณค่าต่อตัวเองและต่อสังคมมากยิ่งขึ้น
3.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
เด็กที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และรู้จักการบริหารเวลา จะทำให้เขาสามารถพุ่งความสนใจในสิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก และทำมันได้สำเร็จ อีกทั้งความหมายของหัวข้อดังกล่าวยังมองไปถึงการก้าวข้ามความกลัว ซึ่งเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ได้อีกด้วย
4.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีแนวคิดแบบ Win-Win
ในโลกใบนี้ การต้องมีผู้แพ้-ผู้ชนะในการแข่งขันดูจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันจะดีมากกว่า หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้การทำให้เกิดผู้ชนะทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเป็นฝ่ายแพ้ เด็กจะได้เรียนรู้จากบรรยากาศที่ทุกฝ่ายสามารถฉลองชัยร่วมกันได้ แทนที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกเยาะเย้ยจากความพ่ายแพ้
5.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่รู้จักฟังปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่รับฟังคนอื่นมากพอจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน การฝึกการฟังให้เด็กเป็นผู้ฟังอย่างมีสติ จับประเด็นได้ถูกต้อง จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น
6.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่ทำงานเป็นทีมได้
การทำงานเป็นทีมมักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียวหลายเท่าพันทวี และมักสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่สังคมได้มากมาย เด็กที่จะผ่านจุดนี้ไปได้นั้น ต้องเรียนรู้ให้มากกว่าการยึดเอาตามความคิดของ "ฉัน" หรือความคิดของ "เธอ" แต่เป็นการรวมสมองเพื่อมองหาทางที่แตกต่าง ทางใหม่ ๆ ที่ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน
7.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีวิสัยทัศน์
เด็กวัยพรีทีีนหรือวัยรุ่น เป็นช่วงที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก และพร้อมสำหรับการรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งในจุดนี้ทำให้เขาพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และวิสัยทัศน์ให้เฉียบคม เพื่อที่เขาจะนำมันไปใช้รับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป