วันพุธ, ธันวาคม 24, 2551

Christmas Day

'

คริสต์มาส หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอล

ประวัติ
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas


ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

วันศุกร์, ธันวาคม 12, 2551

เ รื่ อ ง น่ า คิ ด ข อ ง ไ อ ส ไ ต น์

เรื่องน่าคิดของไอสไตน์
ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า...
" มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า...
" ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "
ไอสไตน์ พูดว่า " งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาก็ต้องคิดว่า
ตัวเองออกมาจากปล่องไปเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ "
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า...
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรกนี่แหละที่เขาเรียกว่า ตรรก เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ ตรรก จะหาตรรกได้ก็ต้อง
กระโดดออกมาจาก " พันธนาการของความเคยชิน "
หลบเลี่ยงจาก " กับดักทางความคิด " หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง "
ขจัด " ทิฐิแห่งกลมสันดาน " จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด
ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้.

วันเสาร์, พฤศจิกายน 29, 2551

-_-









ถ่ายเองนะเนี่ย... เก่ง...

วันจันทร์, พฤศจิกายน 24, 2551

++ เรื่องน่ารู้ของไทย [2]

++ เรื่องน่ารู้ของไทย [2]

- ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า น.) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม.
เช่น ไทยเป็นเวลา19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น
.
- ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน

- นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยคือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476
.
- ยศสูงสุดของทหารไทยคือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ พลเอก ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ
จอมพลสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรัษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช
ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร
(สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)

- ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483

- ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512

- มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกคือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร

- สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519

- คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติคือ
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499

- ผู้นำไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ คือนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ของไทย ได้รับในสาขางานบริการภาครัฐบาล ประจำปี พ.ศ. 2540

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 16, 2551

เรื่องน่ารู้ของไทย [1]

***เรื่องน่ารู้ของไทย [1]



- แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)

- ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร

- น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”

- พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย

- ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431

- ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด


- ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา


- คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร (สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย


- พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี


- นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทานคือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

- ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกคือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”

วันเสาร์, พฤศจิกายน 08, 2551

“ลอยกระทง” ประเพณีที่มีมาแต่โบราณ

วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิงสนุกกันจริงวันลอยกระทง~♪



ประวัติความเป็นมา
ลอยกระทง เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่ น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์ รูปต่าง ๆ ที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆ กัน สำหรับในปีนี้วันลอยกระทงนั้นตรงกับวันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2551 ประเพณีลอยกระทง ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่าก็มีการลอยกระทงคล้ายๆ กับของบ้านเราเหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อ ในแต่ละท้องถิ่น เพราะแม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทงนั้นก็มาจากความเชื่อ ที่หลากหลายเช่นกัน
.

ทำไมถึง “ลอยกระทง”
การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่งก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา
นอกจากนี้ ก็ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทงเพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคาซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์/ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไป


ต่อมา เมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อนเรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวงตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆ ทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป
ลอยกระทงปีนี้ไปลอยที่ไหนดีเอ่ย????

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

The Last Supper.

"อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper )


ตามสัญญาจากครั่งที่แล้ว ไปดูกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย
.
.
เมื่อลีโอนาโดมีอายุได้ ๓๐ ปี เขาได้อพยพไปทำงานที่ Milan ขณะทำงานประจำที่นั้นเขาได้ออกแบบผังเมืองใหม่ได้ออกแบบสร้างระบบทดน้ำ และลำเลียงน้ำสำหรับเมือง ได้ศึกษาปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และเมื่อมีอายุได้ ๔๒ ปี เขาก็ได้เริ่มวาดภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของโลกคือภาพ "The Last Supper" บนผนังของโบสถ์ Santa Maria della Grazie ในเมือง Milan โดยใช้เวลานาน ๓ ปี

ภาพ "The Last Supper" แสดงพระเยซูและสานุศิษย์ ๑๒ คน ขณะรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูได้ตรัสว่าหนึ่งในสานุศิษย์ ๑๒ คนของพระองค์ได้ทรยศต่อพระองค์แล้ว

ภาพวาดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดภาพหนึ่งของโลก ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวนับล้านคนแวะมาชื่นชมภาพนี้ และตลอดเวลานานหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ ภาพได้เสื่อมสภาพลงไปมาก เพราะถูกทำลายด้วยความชื้นจากผู้เข้าชมและมีฝุ่นปกคลุมผิวหน้าของภาพ มีผลทำให้สีที่ Leonardo ระบายไว้ได้ลอกออกมาบ้าง และเมื่อภาพได้รับความ ชื้นมาก พื้นที่บางส่วนของภาพได้ถูกเชื้อราปกคลุม นายช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้บูรณภาพให้คงอยู่ในสภาพเดิม จึงใช้วิธีระบายสีทับลงไป การ "บูรณะ" เช่นนี้ มีผลทำให้คนหลายคนสงสัยว่า ภาพ "The Last Supper" ที่เห็นในปัจจุบัน กับภาพที่ Leonardo วาดในอดีตนั้นคงไม่เหมือนกันแน่เลย

ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐบาลอิตาลีได้เริ่มงานซ่อมแซมและบูรณภาพ "The Last Supper" อย่างจริงจัง และ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ภาพวาดของ Leonardo ก็ได้เผยโฉมให้โลกเห็นอีกครั้งหนึ่ง และโลกก็ได้ประจักษ์ว่าผลงานบูรณะที่ใช้เวลา ๒๐ ปีนี้เป็นผลงานเนรมิตของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐ และงานศิลปะในสมัยศตวรรษที่ ๑๕ ร่วมกัน

เพื่อพิทักษ์รักษาภาพที่ประมาณค่ามิได้นี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผู้เข้าชมทุกคนจะต้องผ่านกระบวนทำความสะอาด โดยให้ยืนในห้องปรับอากาศที่มีอุปกรณ์กำจัดฝุ่น และจุลินทรีย์จากเสื้อผ้าจนหมดจดก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าชมภาพ

ช่างอนุรักษ์คนสำคัญของโครงการนี้เป็นสตรีที่มีนามว่า Pinin Brambilla เธอต้องรับภาระกำจัดสีที่ช่างบูรณะต่าง ๆ ในอดีตได้เคยระบายไว้ให้หมด เพื่อให้โลกได้เห็นสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้จริง ๆ งานบูรณะชิ้นนี้ได้รับความร่วมมือจากสถาบัน Central Institute for Restoration ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลงานที่สำเร็จแล้วมีทั้งบวกและลบ จิตรกรหลายคนมีความเห็นว่า Brambilla ได้สกัดสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ออกมาด้วยมากเกินไปทำให้ภาพศีรษะของพระเยซูเลือนรางเหลือแต่ส่วนที่เป็นเส้นผมและเคราเท่านั้นที่ปรากฏชัดเจน นอกจากนี้ ภาพที่บูรณะแล้วยังซีดและไม่คมชัดอีกต่างหาก แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะอีกหลายคนที่กล่าวยกย่องงานบูรณะนี้ว่าเป็นการบูรณะระดับเซียนทีเดียว

ในความเป็นธรรมนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่างานบูรณภาพ ๆ นี้มีปัญหาที่ไม่ธรรมดาเพราะ Leonardo ใช้วิธีการระบายสีบนผนังที่ไม่เหมือนใคร จิตรกรทั่วไปมักจะใช้สีน้ำระบายไปบนปูนปลาสเตอร์ขณะเปียก ๆ สีจึงติดไปบนผนังทันทีเวลาผนังแห้ง แต่ Leonardo ใช้สีน้ำมันระบายลงไปเป็นชั้น ๆ บนปูนปลาสเตอร์ เทคนิคนี้ทำให้เขาสามารถแสดงรายละเอียดของภาพได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ภาพจะประสบปัญหาความชื้น และเมื่อได้มีการพบว่าที่ระดับลึกใต้ผนังลงไป ๘ เมตร มีแอ่งน้ำใต้ดินอยู่ สีน้ำมันที่ Leonardo ใช้ระบายก็เริ่มแตกสะเก็ด เมื่อเขาระบายเสร็จไม่นาน

และเมื่อภาพสลายไป การบูรณภาพก็ได้ดำเนินมาเป็นระยะ ๆ จิตรกรที่บูรณะได้ใช้สีเคมีต่าง ๆ และใช้เทคนิคหลายรูปแบบ จนผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนมีความเห็นว่า การ "บูรณะ" ได้ทำลายภาพมากกว่าได้บูรณภาพ เช่น ในงานบูรณะ พ.ศ. ๒๒๖๙ ช่างบูรณะได้ใช้สีที่มีโซดาไฟระบาย และใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ผู้บูรณะคนหนึ่งได้ขูดสีที่ Leonardo ระบายออกไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

งานบูรณะครั้งหลังสุดนี้ได้เริ่มดำเนินการใน พ.ศ. ๒๕๒๒ หลังจากที่ได้มีการตรวจพบว่า สีที่นักบูรณะคนก่อน ๆ ได้ระบายไว้นั้น มีสารเคมีหลายชนิดที่กำลังกัดกร่อนสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ Brambilla จึงได้เริ่มการบูรณะอย่างมีหลักการ โดยเธอได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูสีที่ Leonardo และนักบูรณภาพคนก่อน ๆ ใช้ ภายใต้แสงอัลตราไวโอเล็ตและแสงอินฟราเรด ทำให้เธอรู้ว่าสีดั้งเดิมเป็นสีอะไร และสีเสริมใหม่เป็นสีอะไร จากนั้นก็ใช้มีดคมที่มีด้านเล็กขูดสกัดสีที่นักบูรณะเก่า ๆ ระบายไว้ออกทีละชิ้น ๆ และเธอก็ได้เห็นรายละเอียดของภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น ภาพของดอกไม้ที่ม่าน ภาพขนมปังบนโต๊ะอาหารและเห็นทิวทัศน์เบื้องหลังของพระเยซูชัดเจนยิ่งขึ้น

มาบัดนี้ผู้ที่ได้เข้าชมภาพต่างก็พอใจกับงานบูรณะของ Brambilla มาก และทุกคนก็ทำใจได้ว่า ถึงแม้เราจะไม่มีวันได้เห็นภาพดั้งเดิมที่ Leonardo วาดไว้ ๑๐๐% เต็มก็ตาม แต่ขณะนี้ก็ได้เห็นภาพต้นฉบับมากกว่าในอดีตมาก และเมื่อการพิทักษ์ปกป้องภาพเป็นไปอย่างรัดกุมและระมัดระวังเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่า ภาพ The Last Supper จะอยู่คู่โลกอีกอย่างน้อยก็ ๕๐๐ ปี

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2551

Monalisa

Monalisa


****เนื่องจากคราวที่แล้วเราได้ทำความรู้จักกับลีโอนาโด ดาวินชีกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามารู้จักกับผลงานชิ้นเอกของเขากันดีกว่าเริ่มจาก ภาพวาดโมนาลิซา โมนาลิซาวาดในปี ค.ศ. 1503-1506 หรือที่รู้จักกันคือLa Gioconda เป็นรูปภรรยาของ Francesco del Giocondoเป็นภาพวาดสีน้ำมันบนหนังสัตว์แสดงที่ Musee du Louvre กรุงปารีส ภาพนี้ถือว่าเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดและ เป็นสัญลักษณ์ทางงานภาพเขียนของ ลีโอนาโด ดาร์วินซี Monalisa " นี้ คือ ภาพของหญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Lisa มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ.1479-1528 ภาพเขียนนี้ถึงแม้สีที่ใช้จะออกมาในโทนมืดและไม่แสดง ออกถึงผิวหนังที่ดูคล้ายคนแต่ทุกคน ซึ่งอาจรวมทั้งตัวคุณเองด้วย ที่เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว จะรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาของภาพ จนเราไม่สามารถละสายตาไปได้เลย จากรูปข้างบนจะเห็นว่า เธอมองมายังคุณด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย และที่น่าอรรศจรรย์คือ เธอจะดูเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง ที่เรากลับมาดูเธอซึ่งคุณอาจเปลี่ยนความคิดได้ว่ารอยยิ้มของเธออาจไม่ได้แสดงถึงความสุขอีกแล้ว แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า อ้อ..และที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะมองภาพนี้จากมุมไหน (ซ้าย-ขวา) ก็จะรู้สึกว่าโมนาลิซาจ้องอยู่ตลอดเวลา ลองดูสิ
+++++ แล้วคุณล่ะคิดว่าเธอยิ้มปนความสุข หรือ ความเศร้า ?? +++++
อัพบล๊อกคราวหน้าเตรียมพบกับ อาหารค่ำมื้อสุดท้ายยยยยยย

Leonardo da Vinci

Leonardo da Vinci
.

___ลีโอนาโด ถือกำเนิดขึ้น ในวันที่ 15 เมษายน ปีคริสตศักราชที่ 1452 ในวินซี ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองฟลอเรนสซ์ ประเทศอิตาลี เขาเป็นบุตรนอกกฎหมายของ ปิเอโร ดาวินซี เจ้าพนักงานพิสูจน์ และรับรองเอกสาร แห่งเมืองฟลอเรนสซ์ กับหญิงสาวที่ชื่อ แคทเธอรีน พรสวรรค์ในทางศิลปะของลีโอนาโดนั้น ได้แสดงออก ตั้งแต่เขายังอยู่ในวัยเด็ก ในปี ค.ศ.1469 นั้น เขาได้ไปฝึกงานกับ อังเดรย์ เวอรอคชิโอ ซึ่งเป็นศิลปินเอกในสมัยนั้น ณ ที่นั้นเอง ลีโอนาโด ได้ฝึกฝนและเพิ่มความเก่งกาจ เชี่ยวชาญในงานต่างๆ เขาฝึกงานที่นั้นไปจนถึงปีค.ศ. 1476 และได้เข้าร่วมเป็น สมาชิกของสมาคมจิตรกรในปี ค.ศ.1472 ผลงานต่างๆ ที่ตกทอดมาสู่สายตา ของคนรุ่นหลังก็ได้เริ่มมาจากจุดนี้นี่เอง

___ในปี ค.ศ.1478 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วาดภาพให้กับ พาลาสโซ เวคชีโอ ในเมืองฟลอเรนสซ์ เป็นภาพการนำของมาถวายแด่พระกุมาร โดยนักปราชย์ทั้งสาม จากทิศบูรพา แต่งานนี้ก็ต้องหยุดชะงักไป เพราะลีโอนาโดได้ตัดสินใจออกจากฟลอเลนซ์ เพื่อไปยังมิลาน เมื่อปี ค.ศ.1482 และได้ไปทำงาน ให้กับท่านดยุ๊ค โลโดวิโก สฟอร์ซา ซึ่งในตอนนี้ลีโอนาโดก็มีอายุได้ 18 ปีพอดี ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานให้กับราชสำนัก ด้วยการ เขียนภาพเหมือน การจัดงานแสดง รวมทั้งสร้างรูปจำลองของบิดาของ ท่านดยุ๊ค ในท่าทรงม้าด้วยก็ตาม แต่ลีโอนาโด ก็ยังทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานศิลปะด้วย เขาได้เพิ่มพูนความรู้ทางด้านกลศาสตร์ให้กับตนเอง โดยการทำงานเป็นวิศวกรให้กับฝ่านพลเรือน และฝ่ายทหาร จากนั้นเริ่มศึกษาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเน้นทางด้าน กายวิภาค ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกข์ และแม้ว่าลีโอนาโดจะให้ความสนใจ ในหลายสิ่งหลายอย่างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดงานเขียนชิ้นที่สำคัญที่สุดไปได้ นั่นก็คือ การเขียนภาพ "อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper ) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

___เมื่อมิลานตกเป็นของฝรั่งเศษ ในปี ค.ศ.1499 ลีโอนาโดได้ออกจากมิลานเพื่อไปหา งานทำที่อื่น โดยเริ่มไปที่เมืองมองทัวส์ และเมืองเวนิส แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก็กลับมาที่ฟลอเรนสซ์อีก โดยทำงานเป็นคนเขียนแผนที่ และเป็นวิศวกรทหาร ให้กับ ซีสาร์ บอร์จีอา และในปีค.ศ.1503 ลีโอนาโดได้สร้างงานศิลปะที่สำคัญๆเอาไว้มากมาย ตัวอย่างเข่น ภาพเขียนบนฝาผนังในเรื่องของ สงคราม ( Battle of Anghiari ) ซึ่งเขียนติดไว้ที่ห้องโถงของสภาในตัวเมือง รูปโมนาลิซ่า (Portrait of Mona Lisa) อันเลื่องชื่อ และภาพของการหายไปของเลด้า และหงส์ ( Lost Leda and The Swan ) ในช่างนี้เขาได้ให้ความสนใจกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยทุ่มเท การค้นคว้าในเรื่องของกายวิภาคอย่างหนัก จนถึงขนาดผ่าตัดเอาอวัยวะจริงมาศึกษา เขาศึกษาการบินของนกอย่างละเอียด

___ลีโอนาโดถูกเรียกตัวกลับมาที่มิลานอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ.1506 เพื่อมาทำงานให้กับรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศษ เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่มิลานเป็นเวลาถึง 7 ปี ผลงานศิลปะในช่วงนี้ ก็เป็นการสร้างรูปจำลองให้กับ จีอัน จีอาโดโม ตรีวูชีโอ และก็เช่นเดียวกับการสร้างให้ท่านดยุ๊คสฟอร์ซา คือ ลีโอนาโดก็ไม่สร้างให้เสร็จ ในตอนนี้นั้นการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ของลีโอนาโด เริ่มมีอิทธิพลเหนือด้านอื่นๆ พรสวรรค์ทางด้านศิลปะของเขานั้นถูกใช้ไปกับการวาดภาพ ประกอบการค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์ของเขา โดยถ่ายทอดเอารายละเอียดความเข้าใจในส่วนต่างๆ ของโครงสร้างลงในภาพ ในปี ค.ศ. 1513 เขาได้ติดตามพี่ชายของพระสันตปาปาลีโอที่ 10 ที่ชื่อว่า จียูลิอาโน เดอะเมดีซี เพื่อไปยังกรุงโรม และใช้เวลาอยู่ที่นั่น 3 ปี โดยหมกหมุ่นอยู่กับการค้นคว้าทางทฤษฎีมากขึ้นเรื่อยๆ และในปี 1516-1517 นั้น ลีโอนาโดได้ออกจากอิตาลีไปโดยไม่ได้กลับมาอีก เขาไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทาง สถาปัตยกรรมให้กับกษัตริย์ ฟรังซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศษผู้ซึ่งยกย่องในตัว ลีโอนาโดมาโดยตลอด ลีโอนาโดเสียชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1519 รวมอายุได้ 67 ปี

วันอาทิตย์, ตุลาคม 05, 2551

Le pont Alexandre III


Le pont Alexandre III
.

------Le pont Alexandre III reste le pont le plus élégant de Paris par son abondante décoration sculptée de grande qualité, du site privilégié auquel il participe et qu'il a contribué à parfaire. Il doit aussi sa renommée à la prouesse technique qu'il représente. En effet, il est constitué d'une arche d'une seule volée qui enjambe la Seine dans un élan vigoureux, mais surbaissée pour ne pas rompre la perspective tant des Champs-Elysées que des Invalides.
Construit en deux ans seulement par les ingénieurs Résal et d'Alby, la première pierre a été posée, en 1896, par le tsar Nicolas II, mais l'ouvrage fut inauguré lors de l'Exposition universelle de 1900. Les critiques de l'époque expliquaient le caractère hétéroclite du « pont de l'Exposition » parce qu'il y avait autant d'auteurs-artistes qu'il y avait d'ornements. Dans sa décoration, il faut citer les quatre piliers d'angle, hauts de 17 mètres, porteurs de quatre magnifiques groupes équestres en bronze doré qui symbolisent Pégase tenu par la Renommée.


------Sur la rive droite, La Renommée des Sciences et La Renommée des Arts de E. Frémiet avec à leur base La France contemporaine de G. Michel et La France de Charlemagne de A. Lenoir. Sur la rive gauche, La Renommée du Commerce de P. Granet et La Renommée de l'Industrie de C. Steiner, avec, à leur base, La France renaissante de J. Coutan et La France de Louis XIV de L. Marqueste. Les lions sont de J. Dalou et de Gardet. L'ensemble décoratif rappelle la flore et la faune marines de A. Poulin.


------De voûte sont ornées de deux compositions en cuivre martelé représentant, en amont, les Nymphes de la Seine portant les armes de Paris, en aval, les Nymphes de la Néva portant les armes de la Russie, par G. Récipon. Sur le parapet du pont, au pied des piliers, figurent quatre superbes groupes de génies des eaux avec poissons et coquillages sculptés en cuivre martelé par L. Morice et A. Massoule, tandis que les quatre candélabres monumentaux entourés d'amours et de monstres marins sont dus au sculpteur H. Gauquic. Ce pont, aussi grandiose qu'élégant, est classé monument historique.



------Inauguré en 1900. Largeur 40m. Légèrement biais, il comporte une arche métallique de 107m à trois articulations, quinze fermes en acier moulé et deux viaducs en maçonnerie sur les rives.

------Le surbaissement considérable des arcs (1/17) a nécessité des fondations de culées de dimensions très importantes, construites au moyen de caissons à air comprimé dont les côtés parallèles à l'axe du pont ont 33,50m de longueur et dont les autres côtés mesurent 44 mètres.

------La base ds caissons a été descendue à la cote 18,75 sur la rive droite et à la cote 19,40 sur la rive gauche.



++++++ Le pont Alexandre III เป็นสะพานที่มีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในปารีส ด้วยศิลปะผสมระหว่าง ฝรั่งเศส-รัสเซีย โดยพรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงโปรดให้สร้างเพื่อมอบเป็นที่ระรึก ในโอกาศที่ปารีสเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก 1900 [L'Exposition Universelle 1900 ] ++++++

วันพุธ, ตุลาคม 01, 2551

Arc de triomphe de l'Étoile


Arc de triomphe de l'Étoile



_____L’arc de triomphe de l’Étoile appelé partout dans le monde l'Arc de Triomphe, est situé à Paris, sur la place de l’Étoile, à l’extrémité ouest de l’avenue des Champs-Élysées, à 2,2 kilomètres de la place de la Concorde. Haut de 50 mètres et large de 45 mètres, il est géré par le Centre des monuments nationaux.
La place de l'Étoile forme un énorme rond-point de douze avenues percées au XIXe siècle sous l’impulsion du baron Haussmann, alors préfet du département de la Seine. Ces avenues « rayonnent » en étoile autour de la place, notamment l’avenue de la Grande-Armée, l’avenue de Wagram et, bien sûr, l’avenue des Champs-Élysées. Des pavés de couleurs différentes dessinent sur le sol de la place deux étoiles dont les pointes arrivent pour l'une au milieu des avenues, pour l'autre entre les avenues.




Histoire
Napoléon Ier ordonna la construction de l'arc en 1806 : son projet initial était d'en faire le point de départ d'une avenue triomphale traversant notamment le Louvre et la place de la Bastille.

L'architecte Chalgrin, en charge du projet, fut inspiré par l'Antiquité. Les fondations exigèrent deux années de chantier.

Lors des premières défaites napoléoniennes (Campagne de Russie en 1812), la construction fut interrompue, puis abandonnée sous la Restauration, avant d'être finalement reprise et achevée entre 1832 et 1836, sous Louis-Philippe Ier. Les architectes Louis-Robert Goust puis Huyot prirent la relève sous la direction de Héricart de Thury.

L'Arc de triomphe de l'Étoile est inauguré le 29 juillet 1836 pour le sixième anniversaire des Trois Glorieuses. Au départ avait été prévue une grande revue militaire en présence de Louis-Philippe. Mais, alors que celui-ci vient d'être visé par un nouvel attentat le 25 juin, le président du Conseil, Adolphe Thiers, convainc le roi de s'abstenir. La revue militaire est décommandée et remplacée par un grand banquet offert par le roi à 300 invités, tandis que le monument est inauguré en catimini par Thiers, à sept heures du matin.





+++++++++++++++++ Arc de triomphe de l'Étoile คือ ประตูชัย สูง 50 เมตร ตั้งอยู่ที่ตำบล Etoile สร้างในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทัพฝรั่งเศสที่มีชัยชนะในสงคราม ด้านล่างมีหลุมฝังศพของทหารนิรนาม [le tombeau du soldat inconnu] ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นี่มีถนน 12 สายมาบรรจบกัน โดยมีถนน Champs-Elysées เป็นถนนสายสำคัญและมีชื่อเสียงเรื่องลือไปทั่วโลก+++++++++++++++++







วันศุกร์, กันยายน 26, 2551

รองเท้าแก้ว หรือ รองเท้าขนนก

___คุณเคยได้ยินเรื่องของ ซินเดอเรลลา เทพนิยายตลอดกาลหรือเปล่า ผู้หญิงที่ต้องการไปงานเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง ในที่สุดเธอก็ได้ไปเพราะแม่ทูนหัว ที่เสกซะจนสวยเลิศเลอ พร้อมรองเท้าแก้วให้สวมใส่ ความจริงของรองเท้าแก้วคืออะไรนิทานเรื่อง ซินเดอเรลลา มาจาก นิทาน ฝรั่งเศส ถ้าเป็นนิทานฝรั่งเศส รองเท้าที่ซินเดอเรลลาใส่ คือรองเท้าขนนก ไม่ใช่รองเท้าแก้วอย่างที่เราเข้าใจ เพราะนักวิชาการได้ลงความเห็นว่า ไม่มีใครที่จะใส่รองเท้าแก้วไปเต้นรำได้(มันจะแตก) รองเท้าขนนกในภาษาฝรั่งเศส คือ vair ที่ออกเสียงคล้ายกัน คำว่า glass ในภาษาอังกฤษ พูดง่าย ๆ ก็คือคำที่พ้องเสียงในภาษาไทย คนอังกฤษแปลมาแบบนี้ เราก็แปลตามจึงทำให้ เรื่องราวของซินเดอเรลลานี้ เพี้ยน เพราะแค่ รองเท้า ขอย้ำ ! ว่ารองเท้าที่ซินเดอเรลลาใส่ เป็นรองเท้าขนนกไม่ใช่ รองเท้าแก้วนะค่ะ

วันศุกร์, กันยายน 05, 2551

...คิด...

คิดแบบนี้สิ...

• เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
• เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
• เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
• เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
• เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
• เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
• เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
• เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
• เวลาเจอความพลัดพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
• เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
• เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
• เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
• เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
• เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
• เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
• เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
• เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า 'มารไม่มีบารมีไม่เกิด'
• เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม 'ในวิกฤตย่อมมีโอกาส'
• เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
• เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

วันจันทร์, สิงหาคม 25, 2551

1789 ปฏิวัติฝรั่งเศส

ตอน คุก Bastile
.
..........คนฝรั่งเศสได้ประชาธิปไตยมาจากการปฎิวัติที่ค่อนข้างรุนแรงเสียเลือดเสียเนื้อกันค่อนข้างเยอะ เรื่องทั้งหลายอาจจะมีหลายสาเหตุรวมๆกันไม่ว่าเรื่องฐานะทางการเงินของประเทศที่ใกล้จะล้มละลายในสมัยนั้น คือว่ากษัตริย์ฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นต้นมาได้ใช้เงินแบบค่อนข้างเยอะ ไม่ได้มีการทำระบบแบงค์ชาติ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคลังของวังแวร์ซาย นอกจากการใช้เงินที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองอย่างต่อเนื่องแล้วแนวคิดด้านประชาธิปไตยที่มาจากสหรัฐอเมริกาก็ค่อนข้างแรงในประเทศทางยุโรปซะด้วย
..........ทำไม?? กระแสประชาธิปไตยมันแรงก็เพราะว่า สมัยนั้นมีการล่าอาณานิคมเกิดขึ้น ประเทศอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็ชอบที่จะล่ากันอย่างสนุกสนาน อังกฤษนั้นพยายามที่จะควบคุมอาณานิคมฝั่งอเมริกาจนเกิดสงครามประกาศเอกราช โดยฝรั่งเศสเนี่ยก็ได้ช่วยเหลืออเมริกาในการประกาศเอกราชอย่างเช่นมีนายพลดังที่เป็นชื่อห้างแสนไฮโซนครปารีส อย่าง La Fayette ก็ได้มาช่วยจนอเมริกาประกาศเอกราชได้ในวันที่ 4 July 1776 ในขณะที่ฝรั่งเศสได้ช่วยเหลืออเมริกาให้ประกาศเอกราชนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกว่าทำไมบ้านเมืองตัวเองถึงไม่เห็นมีเสรีภาพอย่างงั้นบ้าง ขุนนาง นักการเมือง ก็ยังเอารัดเอาเปรียบประชาชนการใช้เงินในการทำสงครามก็ทำให้การเงินของประเทศเสียหายและไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อคนฝรั่งเศส อาหารก็ขาดแคลนแล้วรัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้ได้ ราคาขนมปังก็ขึ้น ราคาเชื้อเพลิงก็ขึ้น คนก็เลยรู้สึกแย่
..........เหตุการณ์ทั้งหลายเริ่มประมาณปี 1789 การประชุมก็ได้มีการเกิดขึ้นในระบบฐานนันดรทั้ง 3 ชั้นได้แก่ พระ ขุนนาง และประชาชนในพระราชวังแวร์ซาย เนื่องจากการแก้ปัญหาภาระทางการเงินของรัฐบาลนั้นจะกระทำโดยการขึ้นภาษี คนก็ต้องจ่ายภาษีอีก ส่วนบุคคลที่ได้ประโยชน์ก็คงเป็นพวกกลุ่มนายทุนที่ดิน เช่นพระและขุนนาง การโหวตในตอนแรกจะกระทำโดยการให้แต่ละฐานนันดรมี 1 เสียง ก็แน่นอน ถ้าพระ+ขุนนางก็จะได้ 2 เสียง ส่วนประชาชนที่เป็นคนเดือดร้อนส่วนใหญ่มี 1 เสียงก็คงต้องรับกรรมไป ทำให้ประชาชนเหลืออดจากการกระทำของรัฐบาลจึงรวมตัวไป ทำลายคุกบาสติล สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของผู้นำฝรั่งเศส แล้วก็ปล้นปืน ปล้นอาวุธมาสู้กับรัฐบาล วันที่มีการทำลายคุกบาสติวนั้นก็ตรงกับวันที่ประเทศฝรั่งเศสประกาศให้เป็นวันชาติฝรั่งเศสคือ 14 July 1789
..........หลังจากนั้นอีก 6 สัปดาห์ ประชาชนก็เลยไปจัดการเปิดสภาประชาชนเองเรียกว่า National AssemblyในTenis Court Oat ซึ่งมีการประกาศสิทธิมนุษย์ชนทั้งหมด 17 ข้อ แต่จะให้กษัตริย์อยู่ในตำแหน่งต่อไปโดยไม่มีอำนาจทางการเมือง บรรดาขุนนางก็เลยไม่ยอมโดยเฉพาะพระนางมารีย์อังโตเน็ตนี่แทบกรี๊ดสลบบอกกับหลุยส์ที่ 16 ว่าตนไม่ยอม บรรดาผู้ที่เป็นแนวร่วมเด่นดังๆก็เลยมาร่วมกันเยอะแยะ เช่น ชาร์ค-หลุยส์เดวิช, โรสปีแอร์ จาคอบบิน มีคำประกาศที่จะพูดกันอยู่เสมอๆ แล้วเป็นคำที่จะไปใส่ตามภาพและสิ่งของต่างๆในช่วงนั้นก็คือ
"Liberty Equity Neigbourhood" "เสรีภาพ เสมอภาค ภาราดรภาพ"
เครดิต : ไอ เลิฟ ฝรั่งเศส ดอท คอม

วันที่โลกต้องจดจำ...2 กันยา...

.
.
.
.
.
.
.
.
Je suis née le 2 septembre 1991.
.
.
.
.
.
.
.
.
เชอ ซุย เน่ เดอ เลอ เซ็ทตอง(เบลอะ) มิล เนิฟ ซอง กาต เทรอะ แว็ง อ๊งซ์
.
.
.
.
.
.
.
ฉันเกิดวันที่ 2 กันยายน
......
......
......
2 กันยา นี่วันดีจริงๆ

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 27, 2551

โย่ว~~โย่ว~~ มารุจักแคว้นกันเถ๊อะ!!

เรื่องแรก

แคว้นในประเทศฝรั่งเศส (Région)

ถ้าใครอยากเห็นรูป แนะนำให้เปิดไปที่หน้า 8 ของ fréquence jeunes.

แต่ถ้าไม่อยากเปิด ก้อดูซะเซ่!!


แคว้นในประเทศฝรั่งเศสมีทั้งหมด 26 แคว้น (อาจจะงง เพราะในเฟก๊อง มันมีแค่ 22 แคว้น แต่จงอ่านต่อไป...) ซึ่งอยู่ในประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ 21 แคว้น กอร์ส (คอร์ซิกา) 1 แคว้น และแคว้นโพ้นทะเลอีก 4 แคว้น (อ่อ...เข้าใจและ) แคว้นในประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ยังแบ่งการบริหารย่อยเป็นจังหวัด


แคว้นแผ่นดินใหญ่(Région)

--- อัลซาซอากีแตนโอแวร์ญบูร์กอญเบรอตาญซองตร์ชองปาญ-อาร์แดน

คอร์ซิกา (กอร์ส)ฟรองช์-กงเตอีล-เดอ-ฟรองซ์

ลองเกอด็อก-รูซียงลีมูแซงลอร์แรนมีดี-ปีเรเนส์นอร์ด-ปาส์-เดอ-กาเลส์

บาส-นอร์มองดีโอต-นอร์มองดีเปอีส์ เดอ ลา ลัวร์ปีการ์ดี

ปัวตู-ชารองต์โปรวองซ์-อัลป์-โกต ดาซูร์โรน-อัลป์ ---

แคว้นโพ้นทะเล(Région d'outre-mer)

เฟรนช์เกียนา (กียาน)กวาเดอลูป มาร์ตินีกเรอูนียง

(คลิกที่ชื่อแคว้นถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เราจะนำท่านไปที่ที่ไกลแสนไกล...)

**Cradit : Wikipedia