วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2552

ความสุขที่หายไป..ตามกลับคืนได้หรือยัง


ความสุขที่หายไป..ตามกลับคืนได้หรือยัง



หากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่าและสามารถฟ้องอนาคตข้างหน้าว่า จะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว


คนเรามักมีภาพของความรู้สึกดีๆ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตัวเองเสมอ อาจเป็นความรู้สึกพึงใจที่เล็กๆ กระทั่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เคยสัมผัส แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด แต่ความทรงจำนั้นก็ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจซึ่งถูกเก็บไว้ในอดีตของวันวาน

ทว่าอดีตก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้ายเพียง ใด ก็ชื่อว่าเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตได้ล่วงเลยผ่านมา แต่คนเรากลับชอบที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นเสมอ จึงเกิดภาพซ้อนที่ทำให้ติดอยู่ในความทรงจำทั้งเรื่องที่ดีและร้ายคละเคล้ากันเรื่อยมา

บ้างก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี บ้างก็จมอยู่กับความหมองเศร้าที่ไม่รู้ว่าจะให้สลายไปจากใจได้อย่างไร อดีตจึงมีอิทธิพลสำหรับคนที่รู้เท่าไม่ทัน ทำให้เจ้าของชีวิตต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้น

แต่ปราชญ์ทั้งหลายกลับเชิญชวนให้คนเราหันกลับมาทำความเข้าชีวิตในปัจจุบันเป็นหลัก เพื่อให้มีเวลาทำความรู้จักกับความจริงที่มี และเข้าใจภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน โดยไม่ยึดติดกับภาพเดิมๆที่มีอยู่อีกต่อไป เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ส่วนอนาคตก็เป็นภาวะที่ไปยังไม่ถึง ทุกความคิดและการกระทำจึงควรยุติอยู่ที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ

แต่ใช่ว่าความทรงจำที่ผ่านมาจะเลวร้ายเสียทีเดียว เพราะถ้ารู้จักใช้อดีตที่ผ่านมาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้น อดีตนั้นก็สามารถก่อเป็นความงามได้เช่นกัน เพราะเมื่อไม่สามารถลบล้างอดีตได้ เราก็ควรเรียนรู้ชีวิตผ่านอดีตนั้น โดยใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนปัจจุบันที่ประสบอยู่แต่ละขณะให้ดีขึ้น เป็นการใช้ปัจจุบันเป็นตัวการแก้ไขข้อบกพร่องในวันวานที่ผ่านมา เพื่อให้ความทรงจำเหล่านั้นมีชีวิตจริงขึ้นมาได้

ถ้าอดีตที่ผ่านมาเป็นความทรงจำที่เลวร้าย อาจจะเกิดจากความคิดและการกระทำที่ไม่เป็นดังใจหวัง เราก็ใช้ปัจจุบันที่มีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง

หากเป็นอดีตที่ดีงามในความทรงจำ ทุกอย่างที่ผ่านมาช่างก่อ ให้เกิดคุณค่าต่อชีวีที่มีอยู่ ก็ให้เอาอดีตเหล่านั้นมาสอนปัจจุบันให้รู้จักต่อยอดสิ่งที่ดีนั้นไว้ มิใช่ทิ้งขว้างให้จากไปโดยไม่รู้จักใส่ใจ

เพราะหลายครั้งจะเห็นได้ว่าคนเราเวลาทำอะไรในปัจจุบันที่ขาดหลัก และหลงลืมอดีตที่ดีงามของตน สุดท้ายเส้นทางสายใหม่ที่คิดว่าจะไฉไลกว่าเดิม ก็เต็มไปด้วยขวากหนามที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยมา

" ความสุขที่หายไปในชีวิตเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา

เราตามเก็บรายละเอียดเหล่านั้นคืนได้หรือยังในปัจจุบัน ?..."

ดังนั้น เมื่อปรารถนาให้ความสุขกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เราจึงต้องเรียนรู้การตามเก็บความสุขด้วยความเข้าใจ ใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะมองความสุขให้รอบด้านด้วยปัญญาที่มาจากความเข้าใจ

เพราะหากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบันย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่า และฟ้องอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว

อดีตที่เลวร้ายหากไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมฟ้องปัจจุบันว่าจะประสบกับความหมองเศร้าทวีคูณ
ปัจจุบันที่ไร้ค่า ย่อมฟ้องความไร้ค่าในอนาคตเช่นกัน
อดีตที่สวยงามย่อมต่อยอดเป็นความดีได้ในปัจจุบัน
ปัจจุบันที่เปี่ยมด้วยคุณค่าแห่งชีวี ย่อมเป็นอาภรณ์ฟ้องอนาคตที่จะพึงมีให้งดงามตลอดไป

ด้วยเหตุนี้แม้กาลเวลาจะดำรงอยู่บนความไม่แน่นอนของชีวิตเพียงใด แต่เราก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ...

จะให้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นครูสอนอะไร ?
จะทำปัจจุบันที่มีอยู่ส่งต่อไปสู่อนาคตอย่างไร ?
ความสุขที่หายไปจึงจะกลับคืนมาสู่ชีวิตของเราด้วยความลงตัว...*



"You can't change the past but you can change the future into a better past!!!"

"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้

แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คืออนาคตเพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า"

วันศุกร์, ธันวาคม 25, 2552

39 ความจริง คริสมาสต์และปีใหม่

39 ความจริง
คริสมาสต์และปีใหม่
1. เราไม่เคยเห็นโรงเรียนหรือสถานที่ราชการไหนจัดงานปีใหม่ตรงกับวันที่ 1
มกราเลยซักที่

2. เครื่องประดับวันคริสมาสต์ไม่ได้ให้อะไรคุณมากไปกว่าแสงสีสวยงาม เงาประดับ และเวลาอีกชั่วโมงที่คุณต้องเก็บกวาดหลังจากหมดเทศกาล

3. ที่บ้านไม่ได้ประดับเครื่องประดับวันคริสมาสต์ก็ไม่ตายหรอก

4. การที่ผมไม่ได้มีเครื่องประดับวันคริสมาสต์ ไม่ได้หมายความว่าผมเชยซะหน่อย

5. เราไม่เคยเห็นห้างไหนเอาเครื่องประดับวันคริสต์มาสมาขายช่วงเดือนมิถุนาเลยซักที่ -_-!

6. เพลงยอดฮิตที่จะเปิดตามห้าง และสถานที่ราชการ แม้แต่โรงเรียนของคุณๆในช่วงเทศกาลคริสต์มาสคือ Jingle bells และ We wish you a merry Christmas.


8.ถ้าคุณอยากจะให้เทศกาลคริสต์มาส และอื่นๆที่เป็นวัฒนธรรมของต่างประเทศหมดไปจากประเทศไทย บางทีคุณอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ก็เป็นได้
9. คำว่าเทศกาล คริสต์มาส อาจเปลี่ยนเป็น คิดมาก ก็ได้ ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะแต่งบ้านของคุณด้วยเครื่องประดับตามสมัยนิยม

10.เราไม่เคยเห็นคำว่า HAPPY CHRISTMAS เลย

10.1 คำว่า MERRY NEW YEAR ก็เช่นกัน

11.การ์ดปีใหม่ภาษาไทย ทุกใบจะมีประโยคที่ว่า เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ อยู่เสมอ

11.1 แน่นอน รูปยอดฮิตก็หนีไม่พ้น พวงหรีด เอ้ย พวงมาลัย

12.คุณอาจเริ่มสงสัยว่าทำไมวันขึ้นปีใหม่ต้องตรงกับวันที่ 1 มกราคม

12.1 ซึ่งมันก็เป็นคำถามที่ปัญญาอ่อนพอควร

13.วันปีใหม่ คุณอาจได้รับบัตรอวยพรมากกว่า 10 ฉบับ แต่ฉบับที่คนส่งให้คุณ ส่ง
ให้ด้วยความจริงใจนั้นมีน้อยนัก

13.1 หรือไม่มีเลย -_-!

14.สิ่งที่จะมาคู่กับวันคริสต์มาสเสมอคือ ซานตาครอส -_-!

15.คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่าทำไมซานตาครอสถึงต้องร้อง โฮ่ โฮ่ โฮ่ ตลอด

15.1 เช่นเดียวกับที่คุณสงสัยว่าทำไมซานตาครอสถึงอ้วน

16.คุณอาจเคยเชื่อว่าซานตาครอสมีจริง และจะมาแจกของขวัญคุณในคืนวันคริสต์มาส -_-!
17.คุณอาจเคยสงสัยว่าทำไมซานตาครอสถึงยัดของขวัญกล่องใหญ่ๆ ลงไปในถุงเท้าที่คุณแขวนอยู่ได้

18.ถ้าคนรู้จริง เค้าจะต้องรู้ว่าต้นคริสต์มาสจริงๆน่ะ ใบสีแดง มีชีวิต ไม่ใช่ต้นคริสต์มาสที่คล้ายๆต้นสนเทียมแบบนี้

19.ส่วนใหญ่เครื่องประดับวันคริสต์มาสไม่ค่อยมีใครเค้าซื้อใหม่กันหรอก มีแต่ใช้ของปีที่แล้วกันทั้งนั้น

20.ปีใหม่และคริสต์มาสทำให้เราต้องเสียเงินซื้อของขวัญให้เพื่อน

20.1 แต่ในทางกลับกัน เราก็อาจได้รับของขวัญจากเพื่อนด้วย

21.วันสิ้นปี และวันขึ้นปีใหม่ ถูกรัฐบาลบันทึกไว้ว่าเป็น วันหยุดราชการ

21.1 แต่คุณก็มั่วเอาวันจันทร์ ไม่ก็วันศุกร์พ่วงเข้าไปด้วยในกรณีที่มีวันพวกนี้คั่นระหว่าง เสาร์-อาทิตย์ กับวันที่ 31-1

22.การ์ดอวยพรคือของขวัญที่ดีที่สุด ถูกที่สุด และเยินยอได้มากที่สุดโดยคุณเพียงแค่ออกเงินเล็กๆน้อยๆ และเขียนหน้าซองว่า แด่. จาก.. ส่วนเนื้อหานั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของการ์ดไป

23.ชื่องานที่เราจะพบเห็นได้บ่อยที่สุดตามงานปีใหม่คืองาน ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

24. ซานตาครอสในรูปภาพแต่ละรูปหน้าตามักไม่เหมือนกันเสมอ
25.ภาพที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อพูดถึงต้นคริสมาสต์คือ..หิมะ

26.ถึงคุณจะคิดว่าเทศกาลคริสต์มาสเป็นเรื่องหลอกเด็ก แต่คุณก็ตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกันเมื่อวันนั้นจะมาถึง

27.คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่า ซานตาครอสเป็นอะไรตาย

27.1 ถ้าดูจากรูปการณ์แล้ว ใครก็ต้องคิดว่าเค้าไขมันอุดตันในเส้นเลือดตาย น่าสงสารจริงๆ

28.สำหรับนักเรียน ประโยชน์อย่างเดียวคริสต์มาสและปีใหม่คือ..ทำให้พวกเราได้หยุดยาว

29.เครื่องประดับคริสต์มาส 10 กว่าอัน สามารถซื้อหนังสือประวัติวันคริสต์มาสได้ 1 เล่ม

30.คุณอาจเริ่มสงสัยว่า องค์พระรัตนตรัย เกี่ยวข้องอะไรกับวันปีใหม่ (ในบัตรอวยพร)

31.ถ้าซานตาครอสไม่มาเมืองไทย เรารู้ได้เลยว่าเค้าไม่มีพาสปอร์ต -_-!

32.คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่าทำไมซานตาครอสถึงต้องใส่ชุดสีแดง-ขาว
33.เราไม่เคยเห็นซานตาครอสแจกคอมพิวเตอร์หรือเพลย์สเตชั่นเลย ไม่ว่าจะเป็นในประวัติ ในการ์ตูน หรือในความเป็นจริง

34.และคุณก็คงจะเริ่มสงสัยว่าทำไมซานตาครอสถึงต้องขี่กวางเรนเดียร์

34.1 แถมกวางเรนเดียร์นั่นก็เหาะได้อีกต่างหาก -_-!

35.แน่นอน เพลงยอดฮิตภาษาไทยที่ตามห้าง สถานที่ราชการ ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียนของคุณจะเปิดในช่วงปีใหม่คือ เพลง พรปีใหม่

36.บางคนอาจคิดว่าซานตาครอสมีวิธีส่งของขวัญแปลกๆคือ ลงไปทางปล่องไฟ

36.1 และโอกาสรอดคงจะมีน้อยถ้ามีคนจุดไฟอยู่

37.เมื่อพูดถึงซานตาครอส คุณจะนึกถึง ผู้ชายแก่ๆ อ้วนๆ ใส่ชุดขาว-แดง มีเครายาวๆ ปรากฏมาในมโนภาพเสมอ

38.เราอาจเคยเห็นบางโรงเรียนจัดงานกีฬาสีพร้อมกับงานปีใหม่ ^_^

39.เมื่อมาถึงตอนนี้คุณอาจจะได้เรียนรู้แล้วว่า ซานตาครอสก็เป็น 1 ในมนุษย์ที่ผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจคนหนึ่ง

วันศุกร์, ธันวาคม 18, 2552

มิตรภาพระหว่างหัวใจ...



การที่เราได้รู้จักใครสักคน...
ก่อให้เกิด ?มิตรภาพที่งดงาม

การที่เราจะชอบใครสักคน..
ก่อให้เกิด ?มิตรภาพแห่งความประทับใจ

การที่เราจะประทับใจใครสักคน..
ก่อให้เกิด ?มิตรภาพที่แสนหวาน

การที่เราจะรักใครสักคน....
ก่อให้เกิด มิตรภาพระหว่างหัวใจ

การสร้างมิตรภาพนั้นง่าย...
แต่การจะรักษามิตรภาพให้คงอยู่ต่อไปนาน ๆ นั้น..
เป็นการกระทำที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง...

รู้จักคนมากหน้าหลายตา...
เป็นร้อยเป็นพันคน..
ก็ยังถือว่า...มิตรภาพยังน้อยอยู่..


แต่การรู้จักใครสักคน..
อย่างจริงใจ..และมั่นคง..
แม้จะมีเพียงไม่กี่คน..
ก็ได้ชื่อว่า ...มีมิตรภาพอย่างแท้จริง...


ในทางกลับกัน..
การมีมิตรภาพเป็นพัน..เป็นหมื่นคน..

ชื่อว่า..น้อย..ก็จริง...
แต่การสร้างศัตรูแม้เพียงคนเดียว..
ก็ถือว่า..มาก..แล้ว..

คนที่รัก...คนที่ชอบ...
แม้จะมีมากเพียงใด...
ขอให้รักษามิตรภาพเหล่านั้นไว้..ในจริงใจของคน ๆ นั้น..
แม้เพียงคนเดียว...ด้วยความจริงใจ..

มิตรภาพ ..คือ..ความงดงามในจิตใจ..นั้น
ก็ถือว่า...เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด..ยิ่งใหญ่ที่สุด..
มากกว่า..การสร้างศัตรูแม้เพียงคนเดียว...


คนที่รัก..
อาจกลับกลายเป็นศัตรูได้...เมื่อทำผิดใจ..


คนที่เราไม่รัก...
อาจกลับกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดก็เป็นได้...เมื่อให้อภัย...

จงพยายามรักษามิตรภาพที่มีอยู่...
และจงสร้างมิตรภาพใหม่..ในศัตรู..
โดยการให้ความจริงใจ...เชื่อใจ...ให้อภัย..รักษาน้ำใจ..
ให้คงอยู่กับทุก ๆ คน..อย่างจริงใจ..


มิตรภาพระหว่างหัวใจ...

วันพุธ, ธันวาคม 16, 2552

เชื่อมั่น!!



จับมือจูงมือมั่นไว้
ทุกข์ใดกล้ำกรายไม่หวั่น
อุปสรรคหลากหลายกดดัน
ฝ่าฟันทุกข์ภัยร่วมกัน

หัวใจไม่กลัวทุกข์ยาก
ลำบากเพียงใดไม่หวั่น
ลุกขึ้นอีกครั้งสู้มัน
ประจัญประกาศกล้าทั่วฟ้าดิน

แม้ล้มร้อยครั้งยังสู้ไหว
หัวใจแข็งแกร่งดั่งหิน
ลมฝนกระหน่ำจนชาชิน
เช็ดน้ำตาหลั่งรินสู้อีกครา

อุปสรรคไม่นานผ่านพ้น
มีใจอดทนแกร่งกล้า
ไม่นานฟ้าใสอีกครา
ทุกข์มวลจากลาห่างไกล

หลังฝนฟ้าย่อมสดสวย
เพราะด้วยอดทนพ้นได้
ฟ้าใหม่จะงามเพียงใด
ด้วยใจมุ่งมั่นฝ่าฟัน

วันพุธ, ธันวาคม 02, 2552

เหนื่อยไหม??


เหนื่อยไหมกับทางสายนั้น
ทางที่ความฝันไม่รู้อยู่ตรงไหน
ทางที่ไม่มีคนเข้าใจ
ทางที่ต้องเดินไปอยู่ทุกทุกวัน ฉันล้าเต็มทีแล้วเพื่อน
บนทางที่แลเลือนร้างฝัน
บนทางที่ไร้การแบ่งปัน
บนทางที่สายสัมพันธ์ลวงตา ฉันหน่ายเบื่อเหลือจะกล่าว
กับเรื่องราวที่มิได้ปรารถนา
กับสิ่งมอมเมามายา
กับกาลเวลาดิ้นรน เหนื่อยนะกับทางสายนั้น
เหนื่อยกับฝันที่ไร้ขอบเขตของเหตุผล
เหนื่อยที่ต้องย้ำใจย่ำอย่างจำทน
เหนื่อยที่ต้องคอยเล่นกล กับชีวิต.....อันไร้เหงา

วันศุกร์, พฤศจิกายน 20, 2552

^^ ข้อคิดชีวิตมีสุข ^^


^^ ข้อคิดชีวิตมีสุข ^^

1. เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อการเฝ้านั่งเสียใจร่ำไห้ หรือ พูดถึงแต่สิ่งที่เราทำผิดพลาดในอดีต รู้จักให้อภัยตัวเองในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แล้วไม่นึกถึงมันอีก



2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่น ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดในอดีต แล้วไม่พูดถึงมันอีก



3. การปล่อยวางไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ ตรงกันข้าม เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากส่วนลึกของหัวใจของเราวันละน้อย เพื่อเอาชนะความอ่อนแอ



4. ชีวิตไม่ได้เติบโตจากการทำให้ทุกสิ่งได้ดั่งใจของเรา แต่เป็นการยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราอย่างกล้าหาญ รักและเข้าใจทุกสิ่งที่เราได้ตัดสินใจทำลงไปทุกครั้



5. เรียนรู้ความจริงว่าเราไม่สามารถบังคับผู้อื่นให้คิดและทำในสิ่งที่เราต้องการได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้เลย



6. อย่าเสียเวลาคิดแค้นเคืองโกรธในการกระทำของผู้อื่นที่ส่งผลให้เราทุกข์ใจ ให้อภัยเขาเสีย และหากอยากรู้สึกดีขึ้น ก็นึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาว่า ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลนั้นได้ด้วยตนเอง



7. วัตถุหรือภาพลวงตาภายนอกไม่เคยสามารถเติมเต็มหัวใจใครได้ การตั้งหน้าตั้งตาหาวัตถุ หรือความพึงพอใจจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเต็มและมีความสุข นั่นเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ การรับวัตถุทำให้เรามีความต้องการไม่รู้จบ ขณะที่การได้รับความรักความเข้าใจจากคนที่รักอย่างเต็มเปี่ยมจะทำให้เรามีหัวใจที่ "เต็ม" จนไม่ต้องไขว่คว้าหาวัตถุมาเติมเต็มหัวใจอีก

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 08, 2552

ฉันมองเห็นความสุข


เราต้องไม่ลืมที่จะทำความเข้าใจด้วยว่า...

ชีวิต การงาน และความรัก นั้นเกี่ยวข้องกัน การงานไม่ได้หมายถึงชีวิต แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรักไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับชีวิต แต่จะทำให้ชีวิตรู้สึกยิ่งใหญ่

เราควรเรียนรู้ที่จะมีความสุข และนึกถึงความตายว่าคือปลายทางของชีวิตที่เราจะเดินไป

พบคนที่เราเคยสูญเสียไป ถ้าเพียงเราคิดอย่างนั้น เราจะอยู่กับชีวิต ด้วยความเบิกบานและความรัก....อย่างที่มันควรจะเป็น

....ความสุขส่งผ่านมาจากใจและสังเกตได้จากนอกกาย

ชีวิตไม่ได้มีแค่ความสุขแต่เราทำให้ทุกวันทุกเวลามีความสุขได้

วันเสาร์, ตุลาคม 31, 2552

นิสัยกับการใส่รองเท้า


1. รองเท้าแตะ
คนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ ชีวิตดูจะเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ ไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบการท่องเที่ยวแบบตั้งแคมป์ลุยๆ

2. รองเท้าหนัง
คนที่ชอบใส่รองเท้าหนัง เป็นคนที่ชอบความเลิศหรู ชอบความทันสมัย แต่เป็นคนที่ช่างเอาอกเอาใจ ใส่ใจทุกรายละเอียด

3. รองเท้ากีฬา
คนที่ชอบใส่รองเท้ากีฬา เป็นคนที่ชอบเทคแคร์คนอื่น และชอบให้ความช่วยเหลือ ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวตจิตใจ

4. รองเท้าบู้ท
คนที่ชอบใส่รองเท้าบู้ท เป็นคนที่รักความก้าวหน้า มีความมุ่งมั่นมาก เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งนั้น จนสำเร็จลุล่วงดังใจ ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นคนที่ดูสุขุมใจเย็น

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 15, 2552

OOเพิ่มความจำให้สมองOO

เพิ่มความจำให้สมอง


  1. บริหารสมองอยู่เสมอ เช่น ต่อจิ๊กซอว์ เล่นครอสเวิร์ด นั่งคิดเลข …

  2. กินผักผลไม้สด เช่น ผลไม้ที่มีสีแดง ม่วง น้ำเงิน … โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้นสูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

  3. ลดปริมาณแอลกอฮอล์

  4. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพ ในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมอง ที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

  5. จดบันทึก ถ้าเรามีเรื่องให้จำมาก ความจำเราอาจจะแย่ เพราะจำได้ไม่หมด ลองหันมาจดบันทึกดูสิคะ จะทำให้สมองเราผ่อนคลายมากทีเดียว

  6. ทำสมาธิ ถ้าเราเครียดมากๆ ผ่อนคลายโดยการนั่งสมาธิ ให้จิตใจของเราสงบขึ้น


ลองทำตามเคล็ดลับที่เอามาฝากนี้ รับรองว่าสมองของคุณจะโปรดโปร่งขึ้น และมีความสามารถในการจดจำดีขึ้นตามลำดับ

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 08, 2552

วันจันทร์, กันยายน 28, 2552

xxประโยชน์ของเปลือกผลไม้xx


ใครที่ชินกับการกินผักผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกให้เกลี้ยงบ้าง อย่าง แตงกวา มันฝรั่ง มะนาว มะกรูด เป็นต้น ทราบหรือไม่ว่า เปลือกที่ปอกทิ้งไปนั้นก็มีประโยชน์เหมือนกัน วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

.

++เปลือกแอปเปิ้ล เชือว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว

+++เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว

++++ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ
.

.

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานผักผลไม้พร้อมทั้งเปลือกดู แต่ก่อนทานก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนแล้วกัน

วันพฤหัสบดี, กันยายน 24, 2552

-0 ของขวัญจาก "เวลา" 0-

-0 ของขวัญจาก "เวลา" 0-
.

เราทุกคนมีธนาคารเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา”


มันเข้าบัญชีให้คุณทุก ๆ 86,400 วินาที


ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชี ถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดี ๆ

.

มันไม่สะสมยอคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี

ในแต่ละวัน จะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ

ทุกค่ำคืน จะลบยอดคงเหลือของทั้งวันหมดออก

ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณ

ม่สามารถถอยหลังกลับไปได้

ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้

คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ด้วยยอดเงินฝากของวันนี้

ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้ เพื่อผลตอบแทนมาสูงสุด

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ

นาฬิกากำลังเดิน ......... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

.
จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ปี ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น


จะรู้คุณค่าของเวลา 1 เดือน ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด

จะรู้คุณค่าของเวลา 1 สัปดาห์ ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

จะรู้คุณค่าของเวลา 1 ชั่วโมง ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอตามนัดหมาย

จะรู้คุณค่าของเวลา 1 นาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ

ะรู้คุณค่าของเวลา 1 วินาที ให้ไปถามคนที่รอดหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ

จะรู้คุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก

.

ทำทุกขณะที่คุณมี ให้มีค่า และทำให้คุณค่ามากขึ้นไปอีก เพราะคุณใช้มันร่วมกับคนพิเศษบางคนให้พิเศษเพียงพอที่จะใช้เวลาของคุณ และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียว เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยากที่จะอธิบาย วันนี้เป็นของขวัญนั่นไง

มันถึงจะถูกเรียกว่า “PRESENT”

วันพุธ, กันยายน 09, 2552

วันเสาร์, กันยายน 05, 2552

~ รับไม่ได้ TT











" สองนิ้ว V "

ทำไมใครๆ ก็ "ชูสองนิ้ว"
.

.....สำหรับการชู 2 นิ้ว หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "V sign" นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของ "ชัยชนะ" คือ V แทนคำว่า Victory ค่ะ ถ้าน้องๆ ลองไปเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ของตัวเองน้องๆ จะพบว่าตั้งแต่เราเกิดมาเราถ่ายภาพด้วยท่าชู 2 นิ้วไว้มากมายโดยที่เราไม่รู้ตัว คิดอะไรไม่ออกก็ชู 2 นิ้วไว้ก่อนแล้วกัน ^^

.....นอกจากนี้การชูสองนิ้วยังหมายถึง "สันติภาพ" และ "การดูถูกท้าทาย" ได้อีกด้วย ...โดยหากเราไปแสดงอากัปกิริยาด้วยการ ชูสองนิ้วแต่หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง ในสหราชอาณาจักรอย่างอังกฤษ สกอตแลนด์แล้ว ถือว่าเป็นการแสดงท่าทางดูถูกต่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ค่ะ

.....โดยความหมายของการทำเช่นนี้นั้น จะเหมือนกับการที่เราไปทำท่าที่หยาบคายอย่างการ "ชูนิ้วกลาง" (The Finger) ให้คนอื่นเลยทีเดียว ซึ่งพฤติกรรมนี้ถือว่าร้ายแรงและเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมากเลยล่ะ

.....ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา การชู 2 นิ้วนั้นจะใช้กันในความหมายที่ว่า เป็นการแสดงสันติภาพมากกว่า โดยเริ่มได้รับความนิยมมาจากการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสันติภาพในช่วงทศวรรษที่ 1960

.....สำหรับประเทศในทวีปเอเชียนั้น ส่วนใหญ่จะใช้กันตอนถ่ายรูปโดยไม่ได้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่เลย (กลายเป็นท่าฮิตไปซะอย่างงั้น -..-”) แต่ในเวลาต่อมา ผู้คนนอกทวีปเอเชียเริ่มหันมาชู 2 นิ้วตอนถ่ายรูปกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากบรรดาการ์ตูนของญี่ปุ่นที่ไปได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆ นั่นเอง

.....นอกจากนี้บางคนยังเชื่อว่า การที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชู 2 นิ้วนั้นต้องการสื่อถึงเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ญี่ปุ่นโดนบอมบ์ด้วยระเบิดปรมณูไป (และที่สำคัญหลายคนมักจะคิดว่าการชูสองนิ้วถ่ายรูปนั้นจะทำให้ตัวเองน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้คนดูดีทุกคนหรอกค่ะ 55)

.....สำหรับจุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น ไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ก็เป็นที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่า จุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น เริ่มจากพลธนูชาวเวลส์ ที่ต่อสู่ร่วมกับอังกฤษในการสู้รบที่หมู่บ้านอกินคอร์ต ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1415 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งมีการกล่าวไว้ว่า ทหารฝรั่งเศสจะตัดนิ้วมือข้างขวาของพลธนูชาวเวลส์ที่ถูกจับตัวได้ไป 2 นิ้ว จนไม่สามารถยิงธนูได้อีก ด้วยเหตุนี้ บรรดาพลธนูชาวเวลส์ที่ยังไม่ถูกจับตัวจึงชูนิ้ว 2 นิ้วเป็นการดูถูกท้าทายทหารของฝรั่งเศส

.....ไม่น่าเชื่อเลยนะคะเนี่ยว่าท่าชู 2 นิ้ว ที่เราใช้เป็นท่าบังคับในการถ่ายรูปกัน จะมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานขนาดนี้แถมยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อีกต่างหาก... ว่าแต่ต่อไปนี้เวลาจะชู 2 นิ้ว ก็ระวังหน่อยแล้วกันนะคะ อย่าชูผิดด้านล่ะไม่อย่างนั้นล่ะ มีเรื่องแน่ค่ะ 555+

วันพฤหัสบดี, กันยายน 03, 2552

Dolphin


Dolphin

.............The name is originally from Ancient Greek δελφίς. Dolphins are marine mammals that are closely related to whales. There are almost forty species of dolphin in seventeen genera. They vary in size from 1.2 m (4 ft) and 40 kg (90 lb) , up to 9.5 m (30 ft) and 10 tonnes. They are found worldwide, mostly in the shallower seas of the continental shelves, and are carnivores, mostly eating fish and squid. The family Delphinidae is the largest in the Cetacean order, and relatively recent: dolphins evolved about ten million years ago, during the Miocene. Dolphins are among the most intelligent animals and their often friendly appearance and seemingly playful attitude have made them popular in human culture.

'

'

'

'

ปลาโลมา

.........ชื่อของปลาโลมา มีต้นกำเนิดมาจากภาษากรีกโบราณ (เดลฟิส) ปลาโลมาคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในทะเล ที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับปลาวาฬ มีปลาโลมาเกือบ 40 สายพันธ์ ในปลาโลมา 17 จำพวก พวกมันเปลี่ยนแปลงขนาดตั้งแต่ 1.2 เมตร (4 ฟุต) และ 40 กิโลกรัม (90 ปอนด์) จนสูงถึง 9.5 เมตร (30 ฟุต) และ 10 ตัน พวกมันอาศัยกระจายไปทั่ว ส่วนมากในมหาสมุทรน้ำตื้นแถบยุโรป และเป็นสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร ส่วนใหญ่จะกินปลาและปลาหมึก ตระกูล Delphinidae ใหญ่ที่สุดในสัตว์จำพวกวาฬ โลมาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ล้านปีมาแล้ว ปลาโลมาอยู่ท่ามกลางความฉลาด และความเป็นมิตร ของรูปร่างภายนอก ที่ดูเหมือนว่ามีท่าทางที่ขี้เล่น ทำให้ปลาโลมาเป็นที่นิยมในสังคมมนุษย์

วันศุกร์, สิงหาคม 28, 2552

Panthéon (Paris) ^^

Panthéon (Paris)


Le Panthéon est un monument de style néo-classique situé Place du Panthéon sur la montagne Sainte-Geneviève, dans le 5e arrondissement de Paris, au cœur du quartier latin. Il est entouré notamment par l'église Saint-Étienne-du-Mont, la bibliothèque Sainte-Geneviève, l'université de Paris I (Panthéon-Sorbonne), l'université de Paris II (Panthéon-Assas), le lycée Louis-le-Grand, la mairie du 5e arrondissement et le lycée Henri-IV. La rue Soufflot lui dessine une perspective à partir du jardin du Luxembourg.

Construit à l'origine au XVIIIe siècle comme une église pour abriter la châsse de sainte Geneviève, ce monument a maintenant vocation à honorer des personnages et rappeler des événements ayant marqué l'histoire de France.

Ses différentes destinations successives, sa décoration, les inscriptions et les symboles qui y figurent, permettent de parcourir la construction — lente et contrastée — de la nation française.

Ce monument est ouvert au public et géré par le Centre des monuments nationaux
.
.
.
.
: แต่ก่อนเป็นโบสถ์เก่าแก่ชื่อ Sainte-Génévière ตั้งแต่ที่ได้มีการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ได้แปรสภาพมาเป็นที่ฝังศพของบุคคลที่มีชื่อเสียง

วันพุธ, สิงหาคม 12, 2552

อิ่มอุ่น

เพลง อิ่มอุ่น


อุ่นใดใดโลกนี้ไม่มีเทียบเทียม


อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตะกอง


รักเจ้าจึงปลูกรักลูกแม่ย่อมห่วงใย

ม่อยากจากไปไกลแม้เพียงครึ่งวัน


ให้กายเราใกล้กันให้ดวงตาใกล้ตา


ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพันธ์


อิ่มใดใดโลกนี้ไม่มีเทียบเทียม


อิ่มอกอิ่มใจอิ่มรักลูกหลับนอน


น้ำนมจากอกอาหารของความอาทร


แม่พร่ำเตือนพร่ำสอนสอนสั่ง


ให้เจ้าเป็นเด็กดี


ให้เจ้ามีพลัง


ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป


ช่เพียงอุ่นท้อง


ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น


อุ่นไอรัก อุ่นละมุน

อน้ำนมอุ่นจากอกให้ลูกดื่มกิน


วันเสาร์, กรกฎาคม 25, 2552


เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตา เพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไร แต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถเพื่อน ออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตร กลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีกนอกจากกฎของเมอร์ฟี่ ยังมีกฎอื่นๆ ที่มีผู้สังเกตพบมากมายจึงรวบรวมไว้ดังนี้
.
.
กฎความเป็นไปได้ ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับราคาของพรม
การดูดวง หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลว แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด
กฎแห่งความแม่นยำ หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด
กฎของหาย ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน
กฎของเมธี เลขเด็ดที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น และหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออก หากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง แต่ถ้าเราซื้อเลขกลับ มันจะออกเลขตรง และถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย
กฎแรงโน้มถ่วง วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นด้วยความเร็วขนาดที่ทำลาย ทรัพย์สินได้มากที่สุดเท่าๆกัน
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า
กฎห้ามพูด คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า "เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ" กฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวัง ถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหา และถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา
กฎของโฮว์ (Howe's Law) มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ
กฎของไซเมอร์กี้ ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ
ข้อสังเกตของอีตัวร์ รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา
กฎการแก้ปัญหา ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆ อยู่ภายในซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขลุล่วง
กฎทอง คนมีทองคือคนออกกฎ
ธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เรามีสองประเภทประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวก ประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก
กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน คนที่มีนาฬิกาเพิ่ม มาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง
กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยาก เพราะงาน 90 % แรก จะกิน เวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ
กฎของโอ'รีลลี สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด
กฎของลีเบอร์แมน นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร
กฎน้ำพริกถ้วยเก่า เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่
ข้อเท็จจริงขององค์กร ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียว ที่มองเห็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กร และคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ
กฎการโต้เถียง คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก
กฎการทำงานเป็นทีม เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี
กฎการมองโลก มนุษย์สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย ที่เหลือมองร้ายกว่า

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 12, 2552

10 ข้อควรปฏิบัติในการถนอมสายตาหน้าจอคอมฯ

เมื่อเราต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่ทุกวัน เพื่อเป็นการถนอมสายตาของเรา ก็มี 10ข้อปฏิบัติในการถนอมสายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาฝากกัน
1. ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา เราสามารถทดสอบง่าย ๆ ได้โดยลองปิดสวิตซ์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ ๆ จอาภาพ จอที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คือไม่รู้สึกขนลุก
2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมไปถึงปรับความสว่างในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เพราะดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตารุนแรงมากขึ้น
3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18 – 24 นิ้ว (วัดง่าย ๆ ประมาณหนึ่งช่วงแขนและปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 – 20 องศาค่ะ) ถ้าระยะห่าวของจอภาพกับดวงตาไม่สัมพันธ์กันจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
4. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจจะช่วยได้ไม่มาก(ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า) แต่ก็น่าจะช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้
5. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ ที่ต้องทำก็เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากขึ้น
6. หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาทำงานใหม่ เพื่อให้สายตาได้พัก 15 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
7. ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาพักซัก 2 – 3 นาที หรืออาจจะปิดไฟนอนพักซักครู่ (วิธีนี้พี่เหมี่ยวว่าใช้ที่บ้านน่าจะเหมาะที่สุดนะคะ)
8. ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้
9. ควรกระพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ ภายใน 10 วินาที พยายามกระพริบตาซัก 1 – 2 ครั้ง จะช่วยคลายความอ่อนล้าของสายตาได้
10. ตรวจสุขภาพตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรไปตรวจเช็คสุขภาพดวงตาด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 02, 2552

นานาสาระ

7 อุปนิสัยสร้างเด็กให้ประสบความสำเร็จ


1.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีความมั่นใจ สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ความมั่นใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกเด็กวัยรุ่นสู่อิสรภาพ รวมถึงปลดปล่อยความสามารถในด้านอื่น ๆ ของตนเองออกมา พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกวัยรุ่น หรือวัยพรีทีนมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของตนเอง เด็กที่มีความมั่นใจจะเข้าใจว่า ตัวเขาเองคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย และเขาจะไม่กลายเป็นเด็กที่ชอบโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาด้วย
2.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีเป้าหมายในชีวิต
เด็กวัยรุ่น หรือเด็กวัยพรีทีนจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสนเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจไม่ทราบว่า ทำไมเขาถึงต้องทำสิ่งนี้ เขาจะประสบความสำเร็จไปเพื่อใคร และอาจมองชีวิตว่าเป็นการเดินทางที่ไร้จุดหมายแน่นอน ในจุดนี้ หากพ่อแม่ช่วยลูกสร้างเป้าหมายในชีวิต หรือแนะแนวทางในการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตได้ก็จะช่วยให้ชีวิต และทางเดินของเขามีคุณค่าต่อตัวเองและต่อสังคมมากยิ่งขึ้น
3.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
เด็กที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และรู้จักการบริหารเวลา จะทำให้เขาสามารถพุ่งความสนใจในสิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก และทำมันได้สำเร็จ อีกทั้งความหมายของหัวข้อดังกล่าวยังมองไปถึงการก้าวข้ามความกลัว ซึ่งเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ได้อีกด้วย
4.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีแนวคิดแบบ Win-Win
ในโลกใบนี้ การต้องมีผู้แพ้-ผู้ชนะในการแข่งขันดูจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันจะดีมากกว่า หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้การทำให้เกิดผู้ชนะทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเป็นฝ่ายแพ้ เด็กจะได้เรียนรู้จากบรรยากาศที่ทุกฝ่ายสามารถฉลองชัยร่วมกันได้ แทนที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกเยาะเย้ยจากความพ่ายแพ้
5.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่รู้จักฟังปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่รับฟังคนอื่นมากพอจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน การฝึกการฟังให้เด็กเป็นผู้ฟังอย่างมีสติ จับประเด็นได้ถูกต้อง จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น
6.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่ทำงานเป็นทีมได้
การทำงานเป็นทีมมักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียวหลายเท่าพันทวี และมักสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่สังคมได้มากมาย เด็กที่จะผ่านจุดนี้ไปได้นั้น ต้องเรียนรู้ให้มากกว่าการยึดเอาตามความคิดของ "ฉัน" หรือความคิดของ "เธอ" แต่เป็นการรวมสมองเพื่อมองหาทางที่แตกต่าง ทางใหม่ ๆ ที่ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน
7.เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีวิสัยทัศน์
เด็กวัยพรีทีีนหรือวัยรุ่น เป็นช่วงที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก และพร้อมสำหรับการรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งในจุดนี้ทำให้เขาพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และวิสัยทัศน์ให้เฉียบคม เพื่อที่เขาจะนำมันไปใช้รับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป

วันจันทร์, มิถุนายน 22, 2552




วันอังคาร, มิถุนายน 16, 2552

ถนอมสายตาไว้ เมื่อใช้กับคอมพิวเตอร์

ถนอมสายตาไว้ เมื่อใช้กับคอมพิวเตอร์
......คอมพิวเตอร์ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่มนุษย์เรามักจะนิยมใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่บ้านหรือที่ทำงาน ซึ่งการใช้งานมาก ๆ นั้นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้
......ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ นั้นเห็นจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับสายตาเพราะสายตานั้นถือเป็นส่วนที่บอบบางส่วนหนึ่งของร่างกาย อีกทั้งเมื่อคุณต้องมาใช้คอมพิวเตอร์แล้ว สายตาจะเป็นอันดับแรกที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแสงจากหน้าจอ รวมทั้งการที่เราต้องเพ่งตาจ้องหน้าจอนาน ๆ อีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อต้องทำงานร่วมกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ล่ะก็แนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้


1. ควรพักสายตาโดยทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมองใกล้ ( 1-2ฟุต) ประมาณ 5 - 10 นาทีต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาบ้าง จะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาได้

2. ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมาก เพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์ เช่นไม่ควรตรงกับหน้าต่าง

3. ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าง่าย

4. ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กะพริบบ่อยขึ้น เพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้

5. อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตาก็ได้ที่ทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาจะช่วยแก้ปัญหาได้

การป้องกันเอาไว้ดีกว่าการมานั่งตามแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเสียก็ดีกว่า ยิ่งปัญหาที่ว่าเป็นปัญหาสุขภาพร่างกายด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะใส่ใจดูแลให้ดี ๆ ก่อนที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นดีที่สุด