วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

The Last Supper.

"อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper )


ตามสัญญาจากครั่งที่แล้ว ไปดูกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย
.
.
เมื่อลีโอนาโดมีอายุได้ ๓๐ ปี เขาได้อพยพไปทำงานที่ Milan ขณะทำงานประจำที่นั้นเขาได้ออกแบบผังเมืองใหม่ได้ออกแบบสร้างระบบทดน้ำ และลำเลียงน้ำสำหรับเมือง ได้ศึกษาปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และเมื่อมีอายุได้ ๔๒ ปี เขาก็ได้เริ่มวาดภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของโลกคือภาพ "The Last Supper" บนผนังของโบสถ์ Santa Maria della Grazie ในเมือง Milan โดยใช้เวลานาน ๓ ปี

ภาพ "The Last Supper" แสดงพระเยซูและสานุศิษย์ ๑๒ คน ขณะรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูได้ตรัสว่าหนึ่งในสานุศิษย์ ๑๒ คนของพระองค์ได้ทรยศต่อพระองค์แล้ว

ภาพวาดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดภาพหนึ่งของโลก ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวนับล้านคนแวะมาชื่นชมภาพนี้ และตลอดเวลานานหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ ภาพได้เสื่อมสภาพลงไปมาก เพราะถูกทำลายด้วยความชื้นจากผู้เข้าชมและมีฝุ่นปกคลุมผิวหน้าของภาพ มีผลทำให้สีที่ Leonardo ระบายไว้ได้ลอกออกมาบ้าง และเมื่อภาพได้รับความ ชื้นมาก พื้นที่บางส่วนของภาพได้ถูกเชื้อราปกคลุม นายช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้บูรณภาพให้คงอยู่ในสภาพเดิม จึงใช้วิธีระบายสีทับลงไป การ "บูรณะ" เช่นนี้ มีผลทำให้คนหลายคนสงสัยว่า ภาพ "The Last Supper" ที่เห็นในปัจจุบัน กับภาพที่ Leonardo วาดในอดีตนั้นคงไม่เหมือนกันแน่เลย

ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐบาลอิตาลีได้เริ่มงานซ่อมแซมและบูรณภาพ "The Last Supper" อย่างจริงจัง และ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ภาพวาดของ Leonardo ก็ได้เผยโฉมให้โลกเห็นอีกครั้งหนึ่ง และโลกก็ได้ประจักษ์ว่าผลงานบูรณะที่ใช้เวลา ๒๐ ปีนี้เป็นผลงานเนรมิตของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐ และงานศิลปะในสมัยศตวรรษที่ ๑๕ ร่วมกัน

เพื่อพิทักษ์รักษาภาพที่ประมาณค่ามิได้นี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผู้เข้าชมทุกคนจะต้องผ่านกระบวนทำความสะอาด โดยให้ยืนในห้องปรับอากาศที่มีอุปกรณ์กำจัดฝุ่น และจุลินทรีย์จากเสื้อผ้าจนหมดจดก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าชมภาพ

ช่างอนุรักษ์คนสำคัญของโครงการนี้เป็นสตรีที่มีนามว่า Pinin Brambilla เธอต้องรับภาระกำจัดสีที่ช่างบูรณะต่าง ๆ ในอดีตได้เคยระบายไว้ให้หมด เพื่อให้โลกได้เห็นสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้จริง ๆ งานบูรณะชิ้นนี้ได้รับความร่วมมือจากสถาบัน Central Institute for Restoration ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลงานที่สำเร็จแล้วมีทั้งบวกและลบ จิตรกรหลายคนมีความเห็นว่า Brambilla ได้สกัดสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ออกมาด้วยมากเกินไปทำให้ภาพศีรษะของพระเยซูเลือนรางเหลือแต่ส่วนที่เป็นเส้นผมและเคราเท่านั้นที่ปรากฏชัดเจน นอกจากนี้ ภาพที่บูรณะแล้วยังซีดและไม่คมชัดอีกต่างหาก แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะอีกหลายคนที่กล่าวยกย่องงานบูรณะนี้ว่าเป็นการบูรณะระดับเซียนทีเดียว

ในความเป็นธรรมนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่างานบูรณภาพ ๆ นี้มีปัญหาที่ไม่ธรรมดาเพราะ Leonardo ใช้วิธีการระบายสีบนผนังที่ไม่เหมือนใคร จิตรกรทั่วไปมักจะใช้สีน้ำระบายไปบนปูนปลาสเตอร์ขณะเปียก ๆ สีจึงติดไปบนผนังทันทีเวลาผนังแห้ง แต่ Leonardo ใช้สีน้ำมันระบายลงไปเป็นชั้น ๆ บนปูนปลาสเตอร์ เทคนิคนี้ทำให้เขาสามารถแสดงรายละเอียดของภาพได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ภาพจะประสบปัญหาความชื้น และเมื่อได้มีการพบว่าที่ระดับลึกใต้ผนังลงไป ๘ เมตร มีแอ่งน้ำใต้ดินอยู่ สีน้ำมันที่ Leonardo ใช้ระบายก็เริ่มแตกสะเก็ด เมื่อเขาระบายเสร็จไม่นาน

และเมื่อภาพสลายไป การบูรณภาพก็ได้ดำเนินมาเป็นระยะ ๆ จิตรกรที่บูรณะได้ใช้สีเคมีต่าง ๆ และใช้เทคนิคหลายรูปแบบ จนผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนมีความเห็นว่า การ "บูรณะ" ได้ทำลายภาพมากกว่าได้บูรณภาพ เช่น ในงานบูรณะ พ.ศ. ๒๒๖๙ ช่างบูรณะได้ใช้สีที่มีโซดาไฟระบาย และใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ผู้บูรณะคนหนึ่งได้ขูดสีที่ Leonardo ระบายออกไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

งานบูรณะครั้งหลังสุดนี้ได้เริ่มดำเนินการใน พ.ศ. ๒๕๒๒ หลังจากที่ได้มีการตรวจพบว่า สีที่นักบูรณะคนก่อน ๆ ได้ระบายไว้นั้น มีสารเคมีหลายชนิดที่กำลังกัดกร่อนสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ Brambilla จึงได้เริ่มการบูรณะอย่างมีหลักการ โดยเธอได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูสีที่ Leonardo และนักบูรณภาพคนก่อน ๆ ใช้ ภายใต้แสงอัลตราไวโอเล็ตและแสงอินฟราเรด ทำให้เธอรู้ว่าสีดั้งเดิมเป็นสีอะไร และสีเสริมใหม่เป็นสีอะไร จากนั้นก็ใช้มีดคมที่มีด้านเล็กขูดสกัดสีที่นักบูรณะเก่า ๆ ระบายไว้ออกทีละชิ้น ๆ และเธอก็ได้เห็นรายละเอียดของภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น ภาพของดอกไม้ที่ม่าน ภาพขนมปังบนโต๊ะอาหารและเห็นทิวทัศน์เบื้องหลังของพระเยซูชัดเจนยิ่งขึ้น

มาบัดนี้ผู้ที่ได้เข้าชมภาพต่างก็พอใจกับงานบูรณะของ Brambilla มาก และทุกคนก็ทำใจได้ว่า ถึงแม้เราจะไม่มีวันได้เห็นภาพดั้งเดิมที่ Leonardo วาดไว้ ๑๐๐% เต็มก็ตาม แต่ขณะนี้ก็ได้เห็นภาพต้นฉบับมากกว่าในอดีตมาก และเมื่อการพิทักษ์ปกป้องภาพเป็นไปอย่างรัดกุมและระมัดระวังเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่า ภาพ The Last Supper จะอยู่คู่โลกอีกอย่างน้อยก็ ๕๐๐ ปี