วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

The Last Supper.

"อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper )


ตามสัญญาจากครั่งที่แล้ว ไปดูกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย
.
.
เมื่อลีโอนาโดมีอายุได้ ๓๐ ปี เขาได้อพยพไปทำงานที่ Milan ขณะทำงานประจำที่นั้นเขาได้ออกแบบผังเมืองใหม่ได้ออกแบบสร้างระบบทดน้ำ และลำเลียงน้ำสำหรับเมือง ได้ศึกษาปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และเมื่อมีอายุได้ ๔๒ ปี เขาก็ได้เริ่มวาดภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของโลกคือภาพ "The Last Supper" บนผนังของโบสถ์ Santa Maria della Grazie ในเมือง Milan โดยใช้เวลานาน ๓ ปี

ภาพ "The Last Supper" แสดงพระเยซูและสานุศิษย์ ๑๒ คน ขณะรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูได้ตรัสว่าหนึ่งในสานุศิษย์ ๑๒ คนของพระองค์ได้ทรยศต่อพระองค์แล้ว

ภาพวาดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดภาพหนึ่งของโลก ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวนับล้านคนแวะมาชื่นชมภาพนี้ และตลอดเวลานานหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ ภาพได้เสื่อมสภาพลงไปมาก เพราะถูกทำลายด้วยความชื้นจากผู้เข้าชมและมีฝุ่นปกคลุมผิวหน้าของภาพ มีผลทำให้สีที่ Leonardo ระบายไว้ได้ลอกออกมาบ้าง และเมื่อภาพได้รับความ ชื้นมาก พื้นที่บางส่วนของภาพได้ถูกเชื้อราปกคลุม นายช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้บูรณภาพให้คงอยู่ในสภาพเดิม จึงใช้วิธีระบายสีทับลงไป การ "บูรณะ" เช่นนี้ มีผลทำให้คนหลายคนสงสัยว่า ภาพ "The Last Supper" ที่เห็นในปัจจุบัน กับภาพที่ Leonardo วาดในอดีตนั้นคงไม่เหมือนกันแน่เลย

ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐบาลอิตาลีได้เริ่มงานซ่อมแซมและบูรณภาพ "The Last Supper" อย่างจริงจัง และ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ภาพวาดของ Leonardo ก็ได้เผยโฉมให้โลกเห็นอีกครั้งหนึ่ง และโลกก็ได้ประจักษ์ว่าผลงานบูรณะที่ใช้เวลา ๒๐ ปีนี้เป็นผลงานเนรมิตของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐ และงานศิลปะในสมัยศตวรรษที่ ๑๕ ร่วมกัน

เพื่อพิทักษ์รักษาภาพที่ประมาณค่ามิได้นี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผู้เข้าชมทุกคนจะต้องผ่านกระบวนทำความสะอาด โดยให้ยืนในห้องปรับอากาศที่มีอุปกรณ์กำจัดฝุ่น และจุลินทรีย์จากเสื้อผ้าจนหมดจดก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าชมภาพ

ช่างอนุรักษ์คนสำคัญของโครงการนี้เป็นสตรีที่มีนามว่า Pinin Brambilla เธอต้องรับภาระกำจัดสีที่ช่างบูรณะต่าง ๆ ในอดีตได้เคยระบายไว้ให้หมด เพื่อให้โลกได้เห็นสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้จริง ๆ งานบูรณะชิ้นนี้ได้รับความร่วมมือจากสถาบัน Central Institute for Restoration ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลงานที่สำเร็จแล้วมีทั้งบวกและลบ จิตรกรหลายคนมีความเห็นว่า Brambilla ได้สกัดสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ออกมาด้วยมากเกินไปทำให้ภาพศีรษะของพระเยซูเลือนรางเหลือแต่ส่วนที่เป็นเส้นผมและเคราเท่านั้นที่ปรากฏชัดเจน นอกจากนี้ ภาพที่บูรณะแล้วยังซีดและไม่คมชัดอีกต่างหาก แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะอีกหลายคนที่กล่าวยกย่องงานบูรณะนี้ว่าเป็นการบูรณะระดับเซียนทีเดียว

ในความเป็นธรรมนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่างานบูรณภาพ ๆ นี้มีปัญหาที่ไม่ธรรมดาเพราะ Leonardo ใช้วิธีการระบายสีบนผนังที่ไม่เหมือนใคร จิตรกรทั่วไปมักจะใช้สีน้ำระบายไปบนปูนปลาสเตอร์ขณะเปียก ๆ สีจึงติดไปบนผนังทันทีเวลาผนังแห้ง แต่ Leonardo ใช้สีน้ำมันระบายลงไปเป็นชั้น ๆ บนปูนปลาสเตอร์ เทคนิคนี้ทำให้เขาสามารถแสดงรายละเอียดของภาพได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ภาพจะประสบปัญหาความชื้น และเมื่อได้มีการพบว่าที่ระดับลึกใต้ผนังลงไป ๘ เมตร มีแอ่งน้ำใต้ดินอยู่ สีน้ำมันที่ Leonardo ใช้ระบายก็เริ่มแตกสะเก็ด เมื่อเขาระบายเสร็จไม่นาน

และเมื่อภาพสลายไป การบูรณภาพก็ได้ดำเนินมาเป็นระยะ ๆ จิตรกรที่บูรณะได้ใช้สีเคมีต่าง ๆ และใช้เทคนิคหลายรูปแบบ จนผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนมีความเห็นว่า การ "บูรณะ" ได้ทำลายภาพมากกว่าได้บูรณภาพ เช่น ในงานบูรณะ พ.ศ. ๒๒๖๙ ช่างบูรณะได้ใช้สีที่มีโซดาไฟระบาย และใน พ.ศ. ๒๓๑๓ ผู้บูรณะคนหนึ่งได้ขูดสีที่ Leonardo ระบายออกไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

งานบูรณะครั้งหลังสุดนี้ได้เริ่มดำเนินการใน พ.ศ. ๒๕๒๒ หลังจากที่ได้มีการตรวจพบว่า สีที่นักบูรณะคนก่อน ๆ ได้ระบายไว้นั้น มีสารเคมีหลายชนิดที่กำลังกัดกร่อนสีที่ Leonardo ได้ระบายไว้ Brambilla จึงได้เริ่มการบูรณะอย่างมีหลักการ โดยเธอได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูสีที่ Leonardo และนักบูรณภาพคนก่อน ๆ ใช้ ภายใต้แสงอัลตราไวโอเล็ตและแสงอินฟราเรด ทำให้เธอรู้ว่าสีดั้งเดิมเป็นสีอะไร และสีเสริมใหม่เป็นสีอะไร จากนั้นก็ใช้มีดคมที่มีด้านเล็กขูดสกัดสีที่นักบูรณะเก่า ๆ ระบายไว้ออกทีละชิ้น ๆ และเธอก็ได้เห็นรายละเอียดของภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น ภาพของดอกไม้ที่ม่าน ภาพขนมปังบนโต๊ะอาหารและเห็นทิวทัศน์เบื้องหลังของพระเยซูชัดเจนยิ่งขึ้น

มาบัดนี้ผู้ที่ได้เข้าชมภาพต่างก็พอใจกับงานบูรณะของ Brambilla มาก และทุกคนก็ทำใจได้ว่า ถึงแม้เราจะไม่มีวันได้เห็นภาพดั้งเดิมที่ Leonardo วาดไว้ ๑๐๐% เต็มก็ตาม แต่ขณะนี้ก็ได้เห็นภาพต้นฉบับมากกว่าในอดีตมาก และเมื่อการพิทักษ์ปกป้องภาพเป็นไปอย่างรัดกุมและระมัดระวังเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่า ภาพ The Last Supper จะอยู่คู่โลกอีกอย่างน้อยก็ ๕๐๐ ปี

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2551

Monalisa

Monalisa


****เนื่องจากคราวที่แล้วเราได้ทำความรู้จักกับลีโอนาโด ดาวินชีกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามารู้จักกับผลงานชิ้นเอกของเขากันดีกว่าเริ่มจาก ภาพวาดโมนาลิซา โมนาลิซาวาดในปี ค.ศ. 1503-1506 หรือที่รู้จักกันคือLa Gioconda เป็นรูปภรรยาของ Francesco del Giocondoเป็นภาพวาดสีน้ำมันบนหนังสัตว์แสดงที่ Musee du Louvre กรุงปารีส ภาพนี้ถือว่าเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดและ เป็นสัญลักษณ์ทางงานภาพเขียนของ ลีโอนาโด ดาร์วินซี Monalisa " นี้ คือ ภาพของหญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Lisa มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ.1479-1528 ภาพเขียนนี้ถึงแม้สีที่ใช้จะออกมาในโทนมืดและไม่แสดง ออกถึงผิวหนังที่ดูคล้ายคนแต่ทุกคน ซึ่งอาจรวมทั้งตัวคุณเองด้วย ที่เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว จะรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาของภาพ จนเราไม่สามารถละสายตาไปได้เลย จากรูปข้างบนจะเห็นว่า เธอมองมายังคุณด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย และที่น่าอรรศจรรย์คือ เธอจะดูเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง ที่เรากลับมาดูเธอซึ่งคุณอาจเปลี่ยนความคิดได้ว่ารอยยิ้มของเธออาจไม่ได้แสดงถึงความสุขอีกแล้ว แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า อ้อ..และที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะมองภาพนี้จากมุมไหน (ซ้าย-ขวา) ก็จะรู้สึกว่าโมนาลิซาจ้องอยู่ตลอดเวลา ลองดูสิ
+++++ แล้วคุณล่ะคิดว่าเธอยิ้มปนความสุข หรือ ความเศร้า ?? +++++
อัพบล๊อกคราวหน้าเตรียมพบกับ อาหารค่ำมื้อสุดท้ายยยยยยย

Leonardo da Vinci

Leonardo da Vinci
.

___ลีโอนาโด ถือกำเนิดขึ้น ในวันที่ 15 เมษายน ปีคริสตศักราชที่ 1452 ในวินซี ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองฟลอเรนสซ์ ประเทศอิตาลี เขาเป็นบุตรนอกกฎหมายของ ปิเอโร ดาวินซี เจ้าพนักงานพิสูจน์ และรับรองเอกสาร แห่งเมืองฟลอเรนสซ์ กับหญิงสาวที่ชื่อ แคทเธอรีน พรสวรรค์ในทางศิลปะของลีโอนาโดนั้น ได้แสดงออก ตั้งแต่เขายังอยู่ในวัยเด็ก ในปี ค.ศ.1469 นั้น เขาได้ไปฝึกงานกับ อังเดรย์ เวอรอคชิโอ ซึ่งเป็นศิลปินเอกในสมัยนั้น ณ ที่นั้นเอง ลีโอนาโด ได้ฝึกฝนและเพิ่มความเก่งกาจ เชี่ยวชาญในงานต่างๆ เขาฝึกงานที่นั้นไปจนถึงปีค.ศ. 1476 และได้เข้าร่วมเป็น สมาชิกของสมาคมจิตรกรในปี ค.ศ.1472 ผลงานต่างๆ ที่ตกทอดมาสู่สายตา ของคนรุ่นหลังก็ได้เริ่มมาจากจุดนี้นี่เอง

___ในปี ค.ศ.1478 เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วาดภาพให้กับ พาลาสโซ เวคชีโอ ในเมืองฟลอเรนสซ์ เป็นภาพการนำของมาถวายแด่พระกุมาร โดยนักปราชย์ทั้งสาม จากทิศบูรพา แต่งานนี้ก็ต้องหยุดชะงักไป เพราะลีโอนาโดได้ตัดสินใจออกจากฟลอเลนซ์ เพื่อไปยังมิลาน เมื่อปี ค.ศ.1482 และได้ไปทำงาน ให้กับท่านดยุ๊ค โลโดวิโก สฟอร์ซา ซึ่งในตอนนี้ลีโอนาโดก็มีอายุได้ 18 ปีพอดี ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานให้กับราชสำนัก ด้วยการ เขียนภาพเหมือน การจัดงานแสดง รวมทั้งสร้างรูปจำลองของบิดาของ ท่านดยุ๊ค ในท่าทรงม้าด้วยก็ตาม แต่ลีโอนาโด ก็ยังทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานศิลปะด้วย เขาได้เพิ่มพูนความรู้ทางด้านกลศาสตร์ให้กับตนเอง โดยการทำงานเป็นวิศวกรให้กับฝ่านพลเรือน และฝ่ายทหาร จากนั้นเริ่มศึกษาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเน้นทางด้าน กายวิภาค ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกข์ และแม้ว่าลีโอนาโดจะให้ความสนใจ ในหลายสิ่งหลายอย่างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดงานเขียนชิ้นที่สำคัญที่สุดไปได้ นั่นก็คือ การเขียนภาพ "อาหารค่ำมื้อสุดท้าย" ( The Last Supper ) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

___เมื่อมิลานตกเป็นของฝรั่งเศษ ในปี ค.ศ.1499 ลีโอนาโดได้ออกจากมิลานเพื่อไปหา งานทำที่อื่น โดยเริ่มไปที่เมืองมองทัวส์ และเมืองเวนิส แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก็กลับมาที่ฟลอเรนสซ์อีก โดยทำงานเป็นคนเขียนแผนที่ และเป็นวิศวกรทหาร ให้กับ ซีสาร์ บอร์จีอา และในปีค.ศ.1503 ลีโอนาโดได้สร้างงานศิลปะที่สำคัญๆเอาไว้มากมาย ตัวอย่างเข่น ภาพเขียนบนฝาผนังในเรื่องของ สงคราม ( Battle of Anghiari ) ซึ่งเขียนติดไว้ที่ห้องโถงของสภาในตัวเมือง รูปโมนาลิซ่า (Portrait of Mona Lisa) อันเลื่องชื่อ และภาพของการหายไปของเลด้า และหงส์ ( Lost Leda and The Swan ) ในช่างนี้เขาได้ให้ความสนใจกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยทุ่มเท การค้นคว้าในเรื่องของกายวิภาคอย่างหนัก จนถึงขนาดผ่าตัดเอาอวัยวะจริงมาศึกษา เขาศึกษาการบินของนกอย่างละเอียด

___ลีโอนาโดถูกเรียกตัวกลับมาที่มิลานอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ.1506 เพื่อมาทำงานให้กับรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศษ เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่มิลานเป็นเวลาถึง 7 ปี ผลงานศิลปะในช่วงนี้ ก็เป็นการสร้างรูปจำลองให้กับ จีอัน จีอาโดโม ตรีวูชีโอ และก็เช่นเดียวกับการสร้างให้ท่านดยุ๊คสฟอร์ซา คือ ลีโอนาโดก็ไม่สร้างให้เสร็จ ในตอนนี้นั้นการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ของลีโอนาโด เริ่มมีอิทธิพลเหนือด้านอื่นๆ พรสวรรค์ทางด้านศิลปะของเขานั้นถูกใช้ไปกับการวาดภาพ ประกอบการค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์ของเขา โดยถ่ายทอดเอารายละเอียดความเข้าใจในส่วนต่างๆ ของโครงสร้างลงในภาพ ในปี ค.ศ. 1513 เขาได้ติดตามพี่ชายของพระสันตปาปาลีโอที่ 10 ที่ชื่อว่า จียูลิอาโน เดอะเมดีซี เพื่อไปยังกรุงโรม และใช้เวลาอยู่ที่นั่น 3 ปี โดยหมกหมุ่นอยู่กับการค้นคว้าทางทฤษฎีมากขึ้นเรื่อยๆ และในปี 1516-1517 นั้น ลีโอนาโดได้ออกจากอิตาลีไปโดยไม่ได้กลับมาอีก เขาไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทาง สถาปัตยกรรมให้กับกษัตริย์ ฟรังซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศษผู้ซึ่งยกย่องในตัว ลีโอนาโดมาโดยตลอด ลีโอนาโดเสียชีวิตที่ประเทศฝรั่งเศษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1519 รวมอายุได้ 67 ปี

วันอาทิตย์, ตุลาคม 05, 2551

Le pont Alexandre III


Le pont Alexandre III
.

------Le pont Alexandre III reste le pont le plus élégant de Paris par son abondante décoration sculptée de grande qualité, du site privilégié auquel il participe et qu'il a contribué à parfaire. Il doit aussi sa renommée à la prouesse technique qu'il représente. En effet, il est constitué d'une arche d'une seule volée qui enjambe la Seine dans un élan vigoureux, mais surbaissée pour ne pas rompre la perspective tant des Champs-Elysées que des Invalides.
Construit en deux ans seulement par les ingénieurs Résal et d'Alby, la première pierre a été posée, en 1896, par le tsar Nicolas II, mais l'ouvrage fut inauguré lors de l'Exposition universelle de 1900. Les critiques de l'époque expliquaient le caractère hétéroclite du « pont de l'Exposition » parce qu'il y avait autant d'auteurs-artistes qu'il y avait d'ornements. Dans sa décoration, il faut citer les quatre piliers d'angle, hauts de 17 mètres, porteurs de quatre magnifiques groupes équestres en bronze doré qui symbolisent Pégase tenu par la Renommée.


------Sur la rive droite, La Renommée des Sciences et La Renommée des Arts de E. Frémiet avec à leur base La France contemporaine de G. Michel et La France de Charlemagne de A. Lenoir. Sur la rive gauche, La Renommée du Commerce de P. Granet et La Renommée de l'Industrie de C. Steiner, avec, à leur base, La France renaissante de J. Coutan et La France de Louis XIV de L. Marqueste. Les lions sont de J. Dalou et de Gardet. L'ensemble décoratif rappelle la flore et la faune marines de A. Poulin.


------De voûte sont ornées de deux compositions en cuivre martelé représentant, en amont, les Nymphes de la Seine portant les armes de Paris, en aval, les Nymphes de la Néva portant les armes de la Russie, par G. Récipon. Sur le parapet du pont, au pied des piliers, figurent quatre superbes groupes de génies des eaux avec poissons et coquillages sculptés en cuivre martelé par L. Morice et A. Massoule, tandis que les quatre candélabres monumentaux entourés d'amours et de monstres marins sont dus au sculpteur H. Gauquic. Ce pont, aussi grandiose qu'élégant, est classé monument historique.



------Inauguré en 1900. Largeur 40m. Légèrement biais, il comporte une arche métallique de 107m à trois articulations, quinze fermes en acier moulé et deux viaducs en maçonnerie sur les rives.

------Le surbaissement considérable des arcs (1/17) a nécessité des fondations de culées de dimensions très importantes, construites au moyen de caissons à air comprimé dont les côtés parallèles à l'axe du pont ont 33,50m de longueur et dont les autres côtés mesurent 44 mètres.

------La base ds caissons a été descendue à la cote 18,75 sur la rive droite et à la cote 19,40 sur la rive gauche.



++++++ Le pont Alexandre III เป็นสะพานที่มีความงดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในปารีส ด้วยศิลปะผสมระหว่าง ฝรั่งเศส-รัสเซีย โดยพรเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทรงโปรดให้สร้างเพื่อมอบเป็นที่ระรึก ในโอกาศที่ปารีสเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก 1900 [L'Exposition Universelle 1900 ] ++++++

วันพุธ, ตุลาคม 01, 2551

Arc de triomphe de l'Étoile


Arc de triomphe de l'Étoile



_____L’arc de triomphe de l’Étoile appelé partout dans le monde l'Arc de Triomphe, est situé à Paris, sur la place de l’Étoile, à l’extrémité ouest de l’avenue des Champs-Élysées, à 2,2 kilomètres de la place de la Concorde. Haut de 50 mètres et large de 45 mètres, il est géré par le Centre des monuments nationaux.
La place de l'Étoile forme un énorme rond-point de douze avenues percées au XIXe siècle sous l’impulsion du baron Haussmann, alors préfet du département de la Seine. Ces avenues « rayonnent » en étoile autour de la place, notamment l’avenue de la Grande-Armée, l’avenue de Wagram et, bien sûr, l’avenue des Champs-Élysées. Des pavés de couleurs différentes dessinent sur le sol de la place deux étoiles dont les pointes arrivent pour l'une au milieu des avenues, pour l'autre entre les avenues.




Histoire
Napoléon Ier ordonna la construction de l'arc en 1806 : son projet initial était d'en faire le point de départ d'une avenue triomphale traversant notamment le Louvre et la place de la Bastille.

L'architecte Chalgrin, en charge du projet, fut inspiré par l'Antiquité. Les fondations exigèrent deux années de chantier.

Lors des premières défaites napoléoniennes (Campagne de Russie en 1812), la construction fut interrompue, puis abandonnée sous la Restauration, avant d'être finalement reprise et achevée entre 1832 et 1836, sous Louis-Philippe Ier. Les architectes Louis-Robert Goust puis Huyot prirent la relève sous la direction de Héricart de Thury.

L'Arc de triomphe de l'Étoile est inauguré le 29 juillet 1836 pour le sixième anniversaire des Trois Glorieuses. Au départ avait été prévue une grande revue militaire en présence de Louis-Philippe. Mais, alors que celui-ci vient d'être visé par un nouvel attentat le 25 juin, le président du Conseil, Adolphe Thiers, convainc le roi de s'abstenir. La revue militaire est décommandée et remplacée par un grand banquet offert par le roi à 300 invités, tandis que le monument est inauguré en catimini par Thiers, à sept heures du matin.





+++++++++++++++++ Arc de triomphe de l'Étoile คือ ประตูชัย สูง 50 เมตร ตั้งอยู่ที่ตำบล Etoile สร้างในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทัพฝรั่งเศสที่มีชัยชนะในสงคราม ด้านล่างมีหลุมฝังศพของทหารนิรนาม [le tombeau du soldat inconnu] ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นี่มีถนน 12 สายมาบรรจบกัน โดยมีถนน Champs-Elysées เป็นถนนสายสำคัญและมีชื่อเสียงเรื่องลือไปทั่วโลก+++++++++++++++++